Tuesday, July 24, 2012

ผลไม้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดโรคเบาหวาน

 
คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อที่ตับอ่อน ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินสุลินนั้น ทำหน้าที่ได้ไม่ดีและผิดปกติ หรือเพราะมีจำนวนอินสุลินน้อย จึงเป็นเหตุให้น้ำตาลเหลืออยู่ในกระแสเลือดมาก น้ำตาลเหล่านี้จะถูกขับถ่ายออกมาในปัสสาวะ ทำให้ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะหรือปัสสาวะมีรสหวาน เราจึงเรียกโรคนี้ว่าเบาหวาน

ยาแผนปัจจุบันที่รักษาโรคเบาหวานมีราคาแพง ดังนั้นการใช้พืชผักสมุนไพรรักษาโรคจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ยิ่งพืชผักที่ได้ทานเป็นอาหารประจำวันและช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ด้วย เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก

สำหรับผู้ที่เป็นโรคซึ่งต้องควบคุมอาหาร อยู่ตลอดเวลา เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้ทานยาแผนปัจจุบันน้อยลง ผักผลไม้ที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เช่น มะระขี้นก กระเทียม ตำลึง ชะพลู รากเตยหอม รากบัว แห้ว มันแกว เมล็ดหว้า เห็ดหลินจือ ถั่วเหลือง และกะเพรา เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทานในรูปแบบไม่เติมน้ำตาล ปรับปริมาณให้พอเหมาะกับตนเอง เมื่อได้ระดับที่พอเหมาะจะรู้สึกสบายขึ้น ไม่มีอาการปากคอแห้ง ปัสสาวะบ่อย

ระดับน้ำตาลในเลือดเท่าใดจึงจะปกติ

คนปกติจะมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดก่อน อาหารไม่เกิน 120 มก.% และระดับน้ำตาลในกระแสเลือดหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมงไม่เกิน 160 มก.%

เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังต้องการดูแลอย่างต่อเนื่อง โรคนี้จึงเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ถ้ารักษาอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยสามารถอยู่ได้อย่างเป็นสุขและมีชีวิตยืนยาวได้เหมือนคนปกติ โดยผู้ป่วยจึงต้องรู้จักควบคุมและดูแล ตนเองอย่างเหมาะสม เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในภาวะสมดุล

มะเขือเปราะลดน้ำตาลในเลือดได้


ทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียใช้รากมะเขือเปราะ รักษาอาการไอ หอบหืด อาการหลอดลมอักเสบ ขับปัสสาวะ และขับลม ผลมะเขือเปาะนั้น สามารถใช้ขับพยาธิ ลดไข้ ลดอักเสบ ช่วยการขับถ่าย ช่วยย่อยอาหาร และกระตุ้นทางเพศประชากรในแคว้นโอริสสา ของประเทศอินเดียใช้น้ำต้มผลมะเขือเปราะรักษาโรคเบาหวาน งาน วิจัยนานาชาติระหว่างปี พ.ศ.2510-2538 พบว่าผลมะเขือเปราะมีฤทธิ์ลดการบีบตัวกล้ามเนื้อเรียบ ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ และลดความดันเลือด

ผลมะเขือเปราะมีไกลโคอัลคาลอยด์โซลามาร์จีน โซลาโซนีน และอัลคาลอยด์โซลาโซดีนที่ปราศจากโมเลกุลน้ำตาล การทดสอบฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งของสารเหล่านี้พบว่า ทุกตัวมีฤทธิ์ต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งตับและลำไส้ใหญ่

ฤทธิ์ของไกลโคอัลคาลอยด์สูงกว่าโมเลกุลไร้น้ำตาล ราก ต้นและผลแก่มีสารอัลคาลอยด์เหล่านี้ต่ำ แต่ผลเขียว (เหมือนที่คนไทยกิน) มีสารที่มีประโยชน์เหล่านี้ในปริมาณสูงกว่าส่วนอื่นของพืชดังกล่าว สารโซลาโซดีนใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สเตียรอยด์คอร์ติโซนและฮอร์โมน เพศได้ ผลตากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งใช้ปรุงยาแก้ไอ


การลดน้ำตาลในเลือดแบบไม่ต้องพึ่งยา


ชา สารเคมีที่มีชื่อว่า โพลีเฟนอลส์ ซึ่งมักจะพบในชาดำ, ชาเขียว และชาอู่หลง จะมีคุณสมบัติเพิ่มฤทธิ์ให้กับอินซูลิน

อบเชย รับประทานไม่เกินครึ่งช้อนชาทุกวัน สรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาล, ไขมัน และตรีกลีเซอไรด์ในเลือดลงได้ 20 เปอร์เซนต์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อิทธิฤทธิ์ของอบเชย เกิดจากสารประกอบที่เรียกว่า เอมเอซซีพี ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน

เมล็ดข้าวจำพวก บัค-ฮวีต ที่นิยมใช้ทำเส้นก๋วยเตี๋ยวต่างๆ จะอุดมไปด้วยสารที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

เชอร์รี มีสารที่เรียกว่า แอนโตไซอินส์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

ฝรั่ง-แอปเปิล หรือ คั้นน้ำดื่มก็ให้ประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดเช่นเดียวกัน

โกโก้ จะช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ที่มา beautyfullallday

ปวดท้อง แผลในกระเพาะอาหาร



           เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรหรือ โรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือคนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า โรคกระเพาะอาหาร เกิดจากสาเหตุหลายประการ และมีกลไกการเกิดโรคที่ซับซ้อนมาก สาเหตุมาจากกรดและน้ำย่อยที่หลั่งออกมาในกระเพาะอาหาร ไม่ว่ากรดนั้นจะมีปริมาณมากหรือน้อยจะเป็นตัวทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ร่วมกับมีความบกพร่องของเยื่อบุกระเพาะอาหารที่สร้างแนวต้านทานกรดไม่ดี

          นอก จากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งเสริมให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้แก่ ยาแอสไพริน ยารักษาโรคกระดูกและข้ออักเสบ การสูบบุหรี่ ความเครียด อาหารเผ็ด สุรา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร เกิดการอักเสบเรื้อรัง แล้วนำไปสู่การเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นได้

          เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของโรคแผลในกระเพาะอาหาร

          ปัจจุบันพบว่าเชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) เป็น เชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหาร มีรูปร่างเป็นเกลียวและมีหาง มีความทนกรดสูงเนื่องจากสามารถสร้างสารที่เป็นด่างออกมาเจือจางกรดที่อยู่ รอบๆ ตัวมัน ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในชั้นผิวเคลือบภายในกระเพาะอาหารได้ และยังสร้างสารพิษทำลายเซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เกิดการอักเสบและเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร จึงนับเป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร

          นอก จากนี้ขณะที่ทำการรักษาแผลในกระเพาะอาหารอยู่ เชื้อนี้จะเป็นต้นเหตุทำให้แผลหายช้า และทำให้แผลที่หายแล้วกลับเป็นซ้ำได้อีก รวมถึงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอีกด้วย

          อาการสำคัญของโรคแผลในกระเพาะอาหาร

          ปวดหรือจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่หรือช่องท้องช่วงบน ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด มักเป็นในช่วงท้องว่างหรือหิว โดยอาการดังกล่าวมักไม่เป็นตลอดทั้งวัน

          อาการปวดแน่นท้องที่บรรเทาลงได้ด้วยอาหารหรือยาลดกรด ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดมากขึ้นหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารรสเผ็ดหรือเปรี้ยวจัด เป็นต้น

          อาการปวดมักเป็นๆ หายๆ นานเป็นปี โดยมีช่วงเว้นที่ปลอดอาการค่อนข้างนาน เช่น ปวดอยู่ 1 - 2 สัปดาห์และหายไป หลายๆ เดือนจึงกลับมาปวดอีกครั้ง

          ปวดแน่นท้องกลางดึกหลังจากหลับไปแล้วจนต้องตื่นขึ้นมา ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการปวดท้องแต่จะมีอาการแน่นท้อง หรือรู้สึกไม่สบายในท้อง มักจะเป็นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือกลางท้อง รอบสะดือ ในผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีท้องอืดร่วมด้วย โดยเฉพาะหลังกินอาหารจะมีท้องอืดขึ้นชัดเจน มีลมมากในท้อง ท้องร้องโกรกกราก ต้องเรอหรือผายลมจะดีขึ้น อาจมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

          โดย เฉพาะหลังอาหารแต่ละมื้อหรือช่วงเช้ามืด ผู้ป่วยอาจมีอาการอิ่มง่ายกว่าปกติ ทำให้กินได้น้อย และน้ำหนักลดลงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอาการเรื้อรังเป็นปี แต่สุขภาพทั่วไปมักไม่ทรุดโทรม น้ำหนักไม่ลด รวมถึงไม่มีภาวะซีดร่วมด้วย

          ภาวะแทรกซ้อนของโรคแผลในกระเพาะอาหาร พบได้ประมาณร้อยละ 25 - 30 อาทิ ภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหาร พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเหลวสีดำ เหนียว คล้ายน้ำมันดิน หรือมีหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ เป็นลม

          กระเพาะอาหารทะลุ ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องช่วงบนเฉียบพลัน รุนแรง หน้าท้องแข็ง ตึง กดเจ็บมาก กระเพาะอาหารอุดตัน ผู้ป่วยจะรับประทานได้น้อย อิ่มเร็ว อาเจียนหลังอาหารเกือบทุกมื้อ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง

          การวินิจฉัยโรคแผลในกระเพาะอาหาร ในปัจจุบันถือว่าการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน เป็นวิธีที่เป็นมาตรฐานและดีที่สุด ในทางการแพทย์ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคกระเพาะอาหารและได้รับการรักษาด้วยยา ลดกรดแล้วอย่างน้อย 1 เดือนแล้วอาการไม่ทุเลาควรได้รับการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน เนื่องจากแพทย์สามารถให้การวินิจฉัยได้ทันที 



          การรักษาในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

          1. การรักษา / สาเหตุ

          ใน กรณีตรวจพบเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้การรักษาโดยมีสูตรยา 3 - 4 ชนิดร่วมกัน รับประทานนาน 1 - 2 สัปดาห์ สูตรยาส่วนใหญ่เป็นยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดกรด เพื่อรักษาแผลและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ

          ผู้ ป่วยควรได้รับการตรวจหาเชื้อซ้ำภายหลังจากได้รับประทานยาปฏิชีวนะครบแล้ว โดยอาจเป็นการตรวจโดยการส่องกล้องกระเพาะอาหารอีกครั้งเพื่อทำการพิสูจน์ ชิ้นเนื้อซ้ำ หรือทดสอบโดยการรับประทานยาสำหรับทดสอบเชื้อแบคทีเรียโดยตรง และตรวจวัดสารที่ถูกปล่อยออกมาทางลมหายใจ

          ทั้ง 2 วิธีถือเป็นวิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน หลังตรวจพิสูจน์แล้วว่าไม่พบเชื้อแบคทีเรีย โอกาสการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กซ้ำจะมีน้อยกว่า 10% ภายใน 1 ปีหลังได้รับการรักษา ส่วนการรักษาโดยยาลดกรด PPI เพียง อย่างเดียวอาจทำให้แผลหายได้เช่นกัน แต่มีผลเสีย คือ มีโอกาสเกิดแผลซ้ำได้สูง และทำให้มีโอกาสที่เชื้อแบคทีเรียจะทำลายเยื่อบุผิวกระเพาะอาหารลุกลามมาก ขึ้นได้ จึงน่าเป็นห่วงสำหรับผู้ป่วยที่มักจะรับประทานยาลดกรดเอง แล้วมีอาการเป็นๆ หายๆ โดยไม่เคยได้รับการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคที่ไม่หาย ขาดและส่งผลเสียต่อไปในอนาคตได้

          ใน กลุ่มผู้ป่วยที่รับประทานยาที่มีผลทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ควรจะหยุดยาและหลีกเลี่ยงการรับยาในกลุ่มนี้ซ้ำอีก ยกเว้นในกรณีที่ยานั้นจำเป็นต่อการรักษาโรค ผู้ป่วยควรได้รับยาลดกรดควบคู่ไปกับยาที่รับประทานอยู่เพื่อรักษาแผล ลดโอกาสการเกิดแผลขึ้นใหม่ และลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากแผล ส่วนในกรณีผู้ป่วยที่ตรวจพบภาวะกรดเกินจากเนื้องอกควรได้รับการผ่าตัด

          2. การรักษาแผล

          ผู้ ป่วยจะได้รับยาลดกรดเพื่อยับยั้งการหลั่งกรดและส่งเสริมการสมานแผล โดยเฉลี่ยเป็นเวลานาน 6 - 8 สัปดาห์ รวมทั้งผู้ป่วยควรจะงดการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ควบคุมอาหารที่เพิ่มการหลั่งกรดดังกล่าว รวมทั้งลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งการดูแลตัวเองดังนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้นได้โดยเร็ว

          ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ควรปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารอย่างไรบ้าง?

          อาหาร ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ของหมักดอง อาหารแข็งย่อยยาก อาหารประเภททอด หรือมีไขมันมาก เพราะไขมันเป็นสารที่ย่อยยากกว่าสารอาหารชนิดอื่น รวมถึงสังเกตอาหารหรือผลไม้ที่รับประทานแล้วทำให้มีอาการมากขึ้น เช่น บางคนรับประทานฝรั่งหรือสับปะรดจะปวดท้องมากขึ้น เป็นต้น ควรรับประทานอาหารอ่อน อาหารที่ย่อยง่าย เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้วจึงค่อยกลับมารับประทานอาหารที่ใกล้เคียงปกติ ได้

          การบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง มีผลต่อการเพิ่มความรุนแรงของโรคกระเพาะอาหาร กล่าวคือ ถ้ารับประทานอาหารรสจัดจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อแผลมากขึ้น มีอาการปวดมากขึ้น นอกจากนี้ ถ้ารับประทานอาหารที่ย่อยยากหรือรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป จะยิ่งกระตุ้นให้กระเพาะอาหารขยายตัวมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการปวดมากขึ้นเช่นกัน

          โรคแผลในกระเพาะอาหารจะหายขาดได้หรือไม่?

          โรค แผลในกระเพาะอาหารหายได้ แต่มีโอกาสกลับเป็นใหม่ได้อีกร้อยละ 70 - 80 ในระยะเวลา 1 ปีหลังให้การรักษา ซึ่งลักษณะเช่นนี้เป็นธรรมชาติของโรค คือ จะมีลักษณะเรื้อรังและกลับเป็นซ้ำได้ หลังได้รับยาอาการปวดมักจะทุเลาลงในระยะ 7 วันแต่แผลจะยังไม่หาย

          ส่วน ใหญ่ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยารักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน 8 -12 สัปดาห์ แผลจึงจะหาย เมื่อหายแล้วก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีกถ้าไม่ระวังเรื่องการปฏิบัติตัว ให้ถูกต้อง หรือถ้ายังไม่สามารถกำจัดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรให้หมดไปได้ 

ที่มา : สสส.  และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

9 วิธีการแก้อาการท้องผูก

ท้องผูกเรื่องน่าหงุดหงิดที่ไม่ค่อยอยากบอกคนใกล้ตัว ในประเทศอังกฤษ พบว่า มีผู้ที่มีอาการท้องผูกกว่า 6 ล้านคน จากข้อมูลพบว่าคนไทยมีปัญหาท้องผูกกว่า 1 ล้านคน (ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร) พบว่า ผู้หญิงมีปัญหาท้องผูกมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวัยกลางคนขึ้นไป และพบมากขึ้นในผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
      
            นพ.อิทธิชัย วัชรีคุปต์ สาขาอายุกรรมทั่วไป ประจำกล้วยน้ำไท 2 เปิดเผยว่า ผู้ สูงอายุมักมีปัญหาเรื่องท้องผูก เพราะมักจะรับประทานอาหารที่เคี้ยวง่าย ซึ่งส่วนใหญ่อาหารกลุ่มนี้มักไม่ค่อยมีกากใย ดื่มน้ำน้อยลงเพราะกังวลเรื่องการเข้าห้องน้ำ การเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่น้อยลง รวมถึงไม่ค่อยออกกำลังกาย ทำให้ลำไส้ไม่ค่อยบีบตัว นอกจากนี้ โรคบางโรคยังส่งผลต่ออาการท้องผูก เช่น โรคเบาหวาน
      
       สำหรับ หนุ่ม-สาวออฟฟิศ สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก นพ.อิทธิชัย กล่าวว่า พบบ่อยคือผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ดังนี้
      
       1.ได้รับไฟเบอร์ไม่เพียงพอ แนะนำให้กินอาหารที่มีไฟเบอร์ ซึ่งมีมากในข้าวซ้อมมือ ถั่วต่างๆ ผลไม้สด และผัก ควรรับประทานผัก ผลไม้ 5 ส่วนใน 1 วัน
      
       2.ดื่มน้ำไม่เพียงพอ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว น้ำช่วยให้อุจจาระนิ่มขึ้น และระบบการขับถ่ายทำงานง่ายขึ้น
      
       3.ออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 ครั้ง และเลือกกีฬาที่ทำให้ลำไส้มีการขยับตัว เช่น เดิน วิ่ง ฯลฯ
      
       4.กลั้นถ่าย ดังนั้น ควรรีบเข้าห้องน้ำทุกครั้งเมื่อรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ
      
       5.ทานยาบางตัวที่ส่งผลให้ท้องผูก เช่น ยาลดความดันบางตัว อาหารเสริมธาตุเหล็ก ยาแก้ปวดบางตัว ยาคลายเครียดบางชนิด ฯลฯ
      
       6.รับประทานยาถ่ายเป็นประจำ ยาถ่ายทำให้ถ่ายง่ายขึ้น แต่ก็ต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ
      
       7.ความ เปลี่ยนแปลงทางร่างกาย หรือชีวิตประจำวัน เช่น ตั้งครรภ์ การเดินทาง ฯลฯ การตั้งครรภ์ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือมดลูกกดทับลำไส้ ส่วนการเดินทางทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอาหารที่รับประทาน และชีวิตประจำวัน

รู้ได้อย่างไรว่า ท้องผูก หรือไม่ ?

       เรามักเข้าใจว่า ต้องเข้าห้องน้ำทุกวัน แต่ร่างกายบางคนแตกต่างกันออกไป ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกคือผู้ที่ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ผู้ที่มีปัญหาถ่ายอุจจาระยากต้องใช้แรงเบ่งมาก หรือผู้ที่ถ่ายอุจจาระไม่สุดอยู่บ่อยๆ
             
9 ทริก ง่ายๆ ช่วยแก้อาการ ท้องผูก
      
       1.ทานเม็ดแมงลักแช่น้ำ ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา แช่น้ำให้พองเต็มที่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว (250 ซีซี)
      
       2.มะละกอสุก ประมาณ 1/4 ลูก
      
       3.ดื่มน้ำอุ่น 3-4 แก้ว (750-1,000 ซีซี) ขณะท้องว่าง ควรดื่มภายใน 10 – 15 นาที หลังลุกจากที่นอน (ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือ 05.00-07.00 น.) ควรยืนดื่มน้ำ เพื่อไม่ให้รู้สึกจุก เดินไปมาเพื่อให้ลำไส้ขยับตัว
      
       4.ลูกพรุนแห้ง ควรรับประทานทานตอนกลางคืนก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรทานมาก และไม่ควรทานบ่อยเนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูง
       
       5.น้ำมะขามเปียกค่อนข้างเข้มข้น ประมาณ 1 แก้ว ควรดูปริมาณที่เหมาะสมกับตัวเอง
      
       6.ขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ควรกลั้นอุจจาระ
      
       7.ควรเดินออกกำลังกาย ประมาณ 20-30 นาที จะทำให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
      
       8.นวดบริเวณลำไส้ใหญ่ โดยนวดที่บริเวณใต้สะดือ ใช้มือนวดวนตามแนวลำไส้ใหญ่ (ทวนเข็มนาฬิกา) ทำสักพักจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ
      
       9.นั่ง ถ่ายในลักษณะชันเข่า ท่านั่งที่ดีที่สุดในการเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่าย คือ การนั่งยอง ๆ แบบส้วมหลุม เนื่องจากทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Rectum) อยู่ ในลักษณะตรง ทำให้ขับถ่ายได้ง่าย และไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งถ้าที่บ้านเป็นชักโครก สามารถแก้ปัญหาได้ง่ายๆ ด้วยการใช้เท้าชันบนกล่อง หรือถังขยะในลักษณะที่ให้เข่ายกสูงขึ้น แต่เท้าอยู่บนกล่องแต่เป็นระนาบเดียวกับพื้น

ที่มา : สสส.

อาการเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวต่ำ

มันเป็นโรคทางพันธุ์กรรมหนะค่ะ อันตรายใหม ? ขึ้นยุกับว่า ที่บอกว่าต่ำหมอบอกว่า เท่าใหร่? ถ้าต่ำมาก ๆ อาจจะต้องรับบริจากเกล็ดเลือด แต่ว่ามานก้อต้องเป็นเกล็ดที่เข้ากันได้ แต่มานก้อหายากสุด ๆ แต่ถ้าเป็นไม่มากก้อฉีดยาทานยาได้ค่ะ ต้องพบแพทย์ประจำ ห้ามตั้งครรภ์นะค่ะ อันตรายที่สุดต้องยุในความดูแลของแพทย์เท่านั้น พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้ครบ ห้าหมู่ เน้น เนื้อ นม ไข่ ตับ เครื่องในค่ะ มานจะช่วยสร้างเกล็ดเลือด พักผ่อนให้พอ อย่างน้อย 6-8 ชม.ต่อวันค่ะ ทำได้แค่นี้ก้อปลอดภัยแล้วค่ะ อย่าพยายามเป็นแผลด้วยที่สำคัญ อาการอาจจะแย่ลงค่ะ ยังไงอย่าลืมออกกำลังกายประจำด้วย และพบแพทย์เพื่อตรวจเกล็ดเลือด อย่างน้อย หกเดือนครั้งค่ะ 



วิธีการเพิ่มเม็ดเลือดขาว

เม็ดเลือดขาวอยู่ในระบบภูมิคุ้มกัน ปริมาณปกติอยุู่ระหว่าง 4,000-10,000 วิธีการเพิ่มเม็ดเลือดขาว มีดังนี้ค่ะ

    1. รับประทานอาหารโปรตีนสูง โดยควรได้รับโปรตีน 1.5 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เน้นว่าควรต้องเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ได้แก่
       -  รับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาทิ เนื้อปลา เนื้ออกไก่ สันในหมู
       -  รับประทานไข่ทุกวัน ไม่ต้องกลัวเรื่องคอเลสเตอรอลเพราะมีผลน้อยมากหากเทียบกับประโยชน์ที่จะได้ รับ อาจจะรับประทานไข่ขาวเพิ่มให้ได้วันละ 4 ฟอง
       -  รับประทานนมไขมันต่ำ
       -  รับประทานผักจำพวกเห็ดซึ่งก็ให้โปรตีนเหมือนกัน
       -  รับประทานผักผลไม้หลากสี

    2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะหากขาดการพักผ่อนภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวจะต่ำทันที
    3. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่มีผลทำลายภูมิคุ้มกัน อาทิ อาหารที่ไม่สะอาด สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี สถานที่ที่มีคนมาก เพราะหากเราเม็ดเลือดขาวต่ำอยู่แล้วจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งก็ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงอีก
    4. ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที โดยต้องให้เหงื่อออก หัวใจเต้นเร็วขึ้นซึ่งนั่นหมายถึงมีการสูบฉีดโลหิตมากขึ้น
    5.  ทำจิตใจให้สบายไม่เครียด เพราะความเครียดมีผลกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันค่ะ

มะเขือเทศดีอย่างไร


ประโยชน์และสรรพคุณมะเขือเทศนั้นมีมากมายจริง ๆ เลยค่ะ คุณผู้หญิงอยากจะมีผิวสวยเปล่งปลั่งมักจะเลือกที่จะรับประทานมะเขือเทศเป็น ของว่างอยู่เสมอ นอกจากจะบำรุงผิวพรรณแล้ว สรรพคุณมะเขือเทศ ยังมีมากกว่านั้นอีกค่ะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่มักนำ ประโยชน์ของมะเขือเทศ มาทำเป็นอาหารช่วยปรุงและแต่งเติมสีสันบนจานอาหารได้ดูน่าทานมากมายทีเดียว ค่ะ ประโยชน์และ สรรพคุณมะเขือเทศ ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้นะค่ะ เพราะมะเขือเทศยังจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยรักโรคบางอย่างได้ดีอีกด้วยค่ะ ว่าแล้วเราก็มาดู ประโยชน์และสรรพคุณมะเขือเทศ 

- ใบหน้าเปล่งปลั่งสดชื่น

กรด ผลไม้ในมะเขือเทศมีสรรพคุณช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายให้หลุดลอกทำให้ผิวเปล่ง ปลั่ง นำมะเขือเทศขนาดปานกลาง 1 ผลไปบดให้ละเอียดด้วยเครื่องปั่น กรองด้วยผ้าขาวบางคั้นเอาน้ำเติมนมข้นจืดในปริมาณเท่ากับน้ำมะเขือเทศที่ได้ นำส่วนผสมที่ได้มาลูบไล้ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก


- ล้างพิษด้วยน้ำมะเขือเทศ

มะเขือ เทศอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินเอ ซี และอี ซึ่งช่วยเสริมสร้างพลังงานและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย นำมะเขือเทศหั่นเป็นชิ้น ๆ จำนวน 450 กรัม น้ำมะนาว 2 ช้อนชาใส่ในเครื่องปั่น เติมเกลือและพริกไทยอีกประมาณหยิบมือปั่นส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากันดื่มเป็น ประจำทุกเช้าจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า


- ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

ใคร จะคิดบ้างว่าการกินซอสมะเขือเทศช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ มะเขือเทศช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ปลายลำไส้ใหญ่และปลายทวารหนักได้ถึง 60% และยังช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งที่อัณฑะในเพศชาย มีหลักฐานระบุว่า มะเขือเทศปรุงสำเร็จรูปมีไลโคปีน (Iycopene) ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นอย่าลืมให้ซอสมะเขือเทศเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องปรุงอาหารของคุณ รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ากินทิ้งขว้างเหยาะให้เกลี้ยงไม่ให้ติดเหลือก้นขวด


- ลดการบวม

โป แทสเซียมจำนวนมากในมะเขือเทศช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเซลล์และเนื้อเยื่อลด บวมตามร่างกายหรือที่เรียกว่าบวมน้ำ บรรเทาอาการอักเสบบวม อย่าลืมรับประทานสลัดที่มีมะเขือเทศเป็นอาหารมื้อต่อไปเพื่อเพิ่มคุณค่าทาง อาหาร


ไม่เพียงแค่นั้นเมล็ดของมะเขือเทศยังเอามาปลูกเพื่อขยายพันธุ์ได้หรือนำ มาสกัดเอาน้ำมันเพื่อมาใช้ในอุตสาหกรรมสบู่ อุตสาหกรรมสี และกากที่เหลือยังใช้เลี้ยงสัตว์กับเป็นปุ๋ยได้อีกด้วย

เห็นไหมค่ะว่าประโยชน์และสรรพคุณของมะเขือเทศมีมากมายขนาดนี้แล้วอย่าลืมที่จะหันมาเลือกทานมะเขือเทศกันเยอะ ๆ นะค่ะ

Monday, July 23, 2012

สุดยอดผักและผลไม้ 7 ชนิด ผลไม้ 5 สีมีประโยชน์

 
 
เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุก วัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

 ลูกพรุน (Prunes)
        ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด

 ถั่ว
          ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิด ที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย)ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว และอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก


 แอปเปิ้ล            
มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ เพคติน แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว เพคตินนี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้ง และน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที


บรอคโคลี่           
เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัว ซีลีเนียมนี้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

 กล้วยไข่            
กล้วยทุกชนิด ดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ

 ฝรั่ง
           ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของ คุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหัน มารับประทานฝรั่งเป็นประจำ

  ส้ม
          แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคา ที่ถูกกว่าด้วย

        ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น สำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้ แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน

ผักและผลไม้ 5 สี ดีมีประโยชน์

จากงานวิจัย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่า ชายไทยร้อยละ 80 กินผักผลไม้เพียง 268 กรัม/คน/วัน และหญิงไทยร้อยละ 76 กินผักผลไม้เพียง 276 กรัม/คน/วัน ซึ่งตัวเลขนี้ห่างจากมาตรฐานที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 400-500 กรัม/คน/วัน พอสมควรทีเดียว และจากจุดนี้นี่เองที่ทำให้เราป่วยเป็นโรคง่าย เพราะได้รับคุณค่าของสารอาหารไม่เพียงพอ และอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว การ ไม่กินผักทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย อาทิ ท้องผูก ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา อาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ

ทั้งหมดจึงเป็นสาเหตุที่เราจำเป็นจะต้องหันมากินผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับไฟโตนิวเทรียนท์ที่มากพอ และการที่จะได้รับอย่างมากพอนั้น ก็ไม่ควรกินผัก ผลไม้เพียงแค่ชนิดเดียว ควรกินให้ครบ 5 สี ทั้ง แดง เหลือง เขียว ม่วง ขาว เพราะแต่ละชนิดให้คุณค่าของสารอาหารไฟโตนิวเทรียนท์ที่แตกต่างกันไป

อย่างใน ผักผลไม้สีแดง ที่ เห็นคุณประโยชน์เด่นชัดเลยก็คือ มะเขือเทศ ทับทิม อะเซโรล่าเชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ หรือแม้กระทั่งลูกแอปเปิ้ลแดงก็ตาม ในผัก ผลไม้สีแดงนี้จะมีสารไลโคปิน กรดเอลลาจิก แอนโธไซยานิน และกรดแกลลิก ที่ช่วยทำให้ระบบการทำงานของต่อมลูกหมากดีขึ้น ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิดอีกด้วย

สำหรับ ผักผลไม้สีเหลืองส้ม จะช่วยในเรื่องของผิว เพราะมีเบต้าแคโรทีนอยู่จำนวนมาก เช่น แครอต ฟักทอง ข้าวโพด ใครที่กินผัก ผลไม้ประเภทนี้มากๆ ผิวจะกลายเป็นสีเหลือง นั่นเป็นเพราะสารเบต้าแคโรทีนไปสะสมอยู่ตรงบริเวณผิวหนัง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าใครมีค่าเบต้าแคโรทีนสูงๆ ก็ยิ่งมีค่าความเสี่ยงลดลง ดังนั้นหากใครกลัวว่าผิวจะเป็นสีเหลืองเพราะกินเบต้าแคโรทีนมากไป คงต้องหันไปกลัวว่าความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังจะเพิ่มมากขึ้นแทนดีกว่า

ผักผลไม้สีเหลืองยังมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล และยังมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าด้วยว่าลองกินมะละกอห่ามๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานถึง 2 ปี มีสิทธิ์ทำให้สีผิวหน้าที่เป็นฝ้าลดลงได้ รวมทั้งข้าวโพดเหลืองๆ ที่ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรตินาของดวงตาได้อีกด้วย
ต่อจากแดง เหลือง ก็มาถึงผักสีเขียวที่ แทบจะเรียกได้ว่ามีมากที่สุดในบรรดาผัก ผลไม้ต่างๆ เช่น บร็อคโคลี่ คะน้า กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง กวางตุ้ง โหระพา กะเพรา สะระแหน่ และวอเตอร์เครส โดยในผักสีเขียวจะอุดมไปด้วยสารไอโซไธโอไซยาเนท ลูทีน ซีแซนทีน แคททิชิน สารอาหารเหล่านี้จะเข้าไปมีส่วนช่วยทำให้เซลล์สามารถทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสนับสนุนการทำงานของปอด หลอดเลือดแดง และตับอีกด้วย

ผักผลไม้สีขาว อย่าง กระเทียม หอมใหญ่ เห็ด กะหล่ำดอก ผักกาดขาว ดอกแค และมะขามเปราะ ก็มีสารอาหารที่ช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรงเช่นกัน โดยในกระเทียมมีอัลลิซิน เควอซิทิน ที่ช่วยดูแลในเรื่องของกระดูก และทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายดี ดอกแคก็มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคหวัดได้ และยังมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยให้ผิวสวยอีกต่างหาก

สำหรับผักผลไม้สีสุดท้ายนั่นก็คือ สีม่วง น้ำเงิน เป็นกลุ่มที่มีสารแอนโทไซยานินที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ สามารถพบได้ง่ายๆ ในกะหล่ำปลีสีม่วง มะเขือม่วง หรือบลูเบอร์รี่ก็ได้เช่นกัน นอกจากนั้นแล้วสารแอนโทไซยานินยังมีส่วนในการช่วยขยายหลอดเลือดทำให้ความ เสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและอัมพาตลดลงได้เช่นกัน

ในการกินผักผลไม้นั้น นอกจากจะได้รับสารไฟโตนิวเทรียนท์อย่างครบถ้วนแล้ว ยังได้ในเรื่องของกากใยเพื่อช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายอีกด้วย นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บได้ เร็วขึ้นอีกด้วย ลองเริ่มใส่ใจในการกินผักผลไม้ 5 สีตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพของเราที่ดีในวันข้างหน้ากันเถอะครับ

ขอบคุณเนื้อหาจาก ..สสส. และสนุกดอทคอม

มังคุดช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง



ใครที่ชอบทานมังคุด ทราบหรือไม่ว่า มังคุดก็สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...

นัก วิทยศาสตร์ ได้ศึกษาสารสกัดจากเปลือกมังคุดพบฤทธิ์จู่โจมเฉพาะเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยไม่สร้างความเสียหายให้เซลล์ดีที่อยู่รายรอบผลการทดลอง สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี แม้จะใช้เพียงเล็กน้อยเพียง 4 มิลลิกรัมก็ตามสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่นำมาใช้ในการศึกษานี้

ได้ รับการสนับสนุนจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยการทดสอบพบว่า สารสกัดในปริมาณ 4 มิลลิกรัม ดังกล่าว สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้กว่า 50% ของเซลล์มะเร็งทั้งหมด และจากการขยายผลนำสารสกัดไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งอื่น

ก็พบว่าสามารถออกฤทธิ์ดีในการทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้และเซลล์มะเร็งตับรู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมาทานมังคุดกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี

ประวัติของมังคุด

มังคุด (อังกฤษ: Mangosteen) ชื่อวิทยาศาสตร์: Garcinia mangstana Linn. เป็นพันธุ์ไม้ไม่ผลัดใบเขตร้อนชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ที่หมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ แพร่กระจายพันธุ์ไปสู่หมู่เกาะอินดีสตะวันตกเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 24 แล้วจึงไปสู่ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ปานามา เอกวาดอร์ ไปจนถึงฮาวาย ในประเทศไทยมีการปลูกมังคุดมานานแล้วเช่นกัน เพราะมีกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในสมัยรัชกาลที่ 1

มังคุดเป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูง 7-25 เมตร ใบเดี่ยวรูปรี ดอกออกเป็นคู่ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ผลแก่เต็มที่มีสีม่วงแดง กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลืองติดอยู่จนเป็นผล ผลมีเปลือกนอกค่อนข้างแข็ง เนื้อในมีสีขาวฉ่ำน้ำ อาจมีเมล็ดอยู่ในเนื้อผลได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จำนวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจำนวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของเปลือก ผลมังคุดมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเหมือนสตรอเบอรี่ที่ยังไม่สุกหรือส้มที่มีรสหวาน เมล็ดไม่สามารถใช้รับประทานได้ มังคุดเป็นผลไม้จากเอเชียที่ได้รับความนิยมมาก มังคุดได้รับขนานนามว่าเป็น "ราชินีของผลไม้" อาจเป็นเพราะด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติด อยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด มีรสชาติที่แสนหวาน อร่อยอย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้ ปัจจุบันมีการเพาะปลูกและขายบนเกาะบางเกาะในหมู่เกาะฮาวาย ต้นมังคุดต้องปลูกในสภาพอากาศอบอุ่น


สรรพคุณต่างๆ จากมังคุด
  1. ผลของการศึกษาฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระโดยวิธี ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ทำการเปรียบเทียบระหว่างน้ำผลไม้อื่นๆและมังคุด พบว่า มังคุดมีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระมากกว่า แครอท ราสเบอรรี่ บลูเบอรรี่ ทับทิม
  2. ผลจากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารแซนโทน จึงป้องกันการเกิดออกซิเดชันของ LDL ซึ่งเป็นคลอเลสเตอรอลตัวร้าย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอีกทั้งยังลดการทำลายเซลล์ อันเป็นผลจากปฏิกิริยาลูกโซ่ จึงช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการแก่ได้ด้วย
  3. มีผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่างๆรวมถึงการตายของเซลล์มะเร็งในการศึกษาระดับห้องปฎิบัติการ เช่น เซลล์มะเร็งเต้านม, เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว, เซลล์มะเร็งตับ, กระเพาะอาหาร และเซลล์มะเร็งปอด
  4. มีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อวัณโรค, เชื้อ S. Enteritidis และเชื้อ HIV
  5. สามารถยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคภูมิแพ้
  6. สามารถยับยั้งการสังเคราะห์สารพลอสตาแกลนดินอีทู ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกระบวนการอักเสบต่างๆ เช่น การปวดอักเสบ กล้ามเนื้อและข้อ
  7. มีฤทธิ์ในการช่วยขยายตัวของหลอดเลือด ดังนั้นจึงมีประโยชน์ในการลดความดันโลหิต