Tuesday, July 24, 2012

ผลไม้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดโรคเบาหวาน

 
คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อที่ตับอ่อน ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินสุลินนั้น ทำหน้าที่ได้ไม่ดีและผิดปกติ หรือเพราะมีจำนวนอินสุลินน้อย จึงเป็นเหตุให้น้ำตาลเหลืออยู่ในกระแสเลือดมาก น้ำตาลเหล่านี้จะถูกขับถ่ายออกมาในปัสสาวะ ทำให้ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะหรือปัสสาวะมีรสหวาน เราจึงเรียกโรคนี้ว่าเบาหวาน

ยาแผนปัจจุบันที่รักษาโรคเบาหวานมีราคาแพง ดังนั้นการใช้พืชผักสมุนไพรรักษาโรคจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ยิ่งพืชผักที่ได้ทานเป็นอาหารประจำวันและช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ด้วย เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก

สำหรับผู้ที่เป็นโรคซึ่งต้องควบคุมอาหาร อยู่ตลอดเวลา เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้ทานยาแผนปัจจุบันน้อยลง ผักผลไม้ที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เช่น มะระขี้นก กระเทียม ตำลึง ชะพลู รากเตยหอม รากบัว แห้ว มันแกว เมล็ดหว้า เห็ดหลินจือ ถั่วเหลือง และกะเพรา เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทานในรูปแบบไม่เติมน้ำตาล ปรับปริมาณให้พอเหมาะกับตนเอง เมื่อได้ระดับที่พอเหมาะจะรู้สึกสบายขึ้น ไม่มีอาการปากคอแห้ง ปัสสาวะบ่อย

ระดับน้ำตาลในเลือดเท่าใดจึงจะปกติ

คนปกติจะมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดก่อน อาหารไม่เกิน 120 มก.% และระดับน้ำตาลในกระแสเลือดหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมงไม่เกิน 160 มก.%

เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังต้องการดูแลอย่างต่อเนื่อง โรคนี้จึงเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ถ้ารักษาอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยสามารถอยู่ได้อย่างเป็นสุขและมีชีวิตยืนยาวได้เหมือนคนปกติ โดยผู้ป่วยจึงต้องรู้จักควบคุมและดูแล ตนเองอย่างเหมาะสม เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในภาวะสมดุล

มะเขือเปราะลดน้ำตาลในเลือดได้


ทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียใช้รากมะเขือเปราะ รักษาอาการไอ หอบหืด อาการหลอดลมอักเสบ ขับปัสสาวะ และขับลม ผลมะเขือเปาะนั้น สามารถใช้ขับพยาธิ ลดไข้ ลดอักเสบ ช่วยการขับถ่าย ช่วยย่อยอาหาร และกระตุ้นทางเพศประชากรในแคว้นโอริสสา ของประเทศอินเดียใช้น้ำต้มผลมะเขือเปราะรักษาโรคเบาหวาน งาน วิจัยนานาชาติระหว่างปี พ.ศ.2510-2538 พบว่าผลมะเขือเปราะมีฤทธิ์ลดการบีบตัวกล้ามเนื้อเรียบ ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ และลดความดันเลือด

ผลมะเขือเปราะมีไกลโคอัลคาลอยด์โซลามาร์จีน โซลาโซนีน และอัลคาลอยด์โซลาโซดีนที่ปราศจากโมเลกุลน้ำตาล การทดสอบฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งของสารเหล่านี้พบว่า ทุกตัวมีฤทธิ์ต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งตับและลำไส้ใหญ่

ฤทธิ์ของไกลโคอัลคาลอยด์สูงกว่าโมเลกุลไร้น้ำตาล ราก ต้นและผลแก่มีสารอัลคาลอยด์เหล่านี้ต่ำ แต่ผลเขียว (เหมือนที่คนไทยกิน) มีสารที่มีประโยชน์เหล่านี้ในปริมาณสูงกว่าส่วนอื่นของพืชดังกล่าว สารโซลาโซดีนใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สเตียรอยด์คอร์ติโซนและฮอร์โมน เพศได้ ผลตากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งใช้ปรุงยาแก้ไอ


การลดน้ำตาลในเลือดแบบไม่ต้องพึ่งยา


ชา สารเคมีที่มีชื่อว่า โพลีเฟนอลส์ ซึ่งมักจะพบในชาดำ, ชาเขียว และชาอู่หลง จะมีคุณสมบัติเพิ่มฤทธิ์ให้กับอินซูลิน

อบเชย รับประทานไม่เกินครึ่งช้อนชาทุกวัน สรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาล, ไขมัน และตรีกลีเซอไรด์ในเลือดลงได้ 20 เปอร์เซนต์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อิทธิฤทธิ์ของอบเชย เกิดจากสารประกอบที่เรียกว่า เอมเอซซีพี ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน

เมล็ดข้าวจำพวก บัค-ฮวีต ที่นิยมใช้ทำเส้นก๋วยเตี๋ยวต่างๆ จะอุดมไปด้วยสารที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

เชอร์รี มีสารที่เรียกว่า แอนโตไซอินส์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

ฝรั่ง-แอปเปิล หรือ คั้นน้ำดื่มก็ให้ประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดเช่นเดียวกัน

โกโก้ จะช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ที่มา beautyfullallday

ปวดท้อง แผลในกระเพาะอาหาร



           เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรหรือ โรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือคนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า โรคกระเพาะอาหาร เกิดจากสาเหตุหลายประการ และมีกลไกการเกิดโรคที่ซับซ้อนมาก สาเหตุมาจากกรดและน้ำย่อยที่หลั่งออกมาในกระเพาะอาหาร ไม่ว่ากรดนั้นจะมีปริมาณมากหรือน้อยจะเป็นตัวทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ร่วมกับมีความบกพร่องของเยื่อบุกระเพาะอาหารที่สร้างแนวต้านทานกรดไม่ดี

          นอก จากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งเสริมให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้แก่ ยาแอสไพริน ยารักษาโรคกระดูกและข้ออักเสบ การสูบบุหรี่ ความเครียด อาหารเผ็ด สุรา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร เกิดการอักเสบเรื้อรัง แล้วนำไปสู่การเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นได้

          เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของโรคแผลในกระเพาะอาหาร

          ปัจจุบันพบว่าเชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) เป็น เชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหาร มีรูปร่างเป็นเกลียวและมีหาง มีความทนกรดสูงเนื่องจากสามารถสร้างสารที่เป็นด่างออกมาเจือจางกรดที่อยู่ รอบๆ ตัวมัน ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในชั้นผิวเคลือบภายในกระเพาะอาหารได้ และยังสร้างสารพิษทำลายเซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เกิดการอักเสบและเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร จึงนับเป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร

          นอก จากนี้ขณะที่ทำการรักษาแผลในกระเพาะอาหารอยู่ เชื้อนี้จะเป็นต้นเหตุทำให้แผลหายช้า และทำให้แผลที่หายแล้วกลับเป็นซ้ำได้อีก รวมถึงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอีกด้วย

          อาการสำคัญของโรคแผลในกระเพาะอาหาร

          ปวดหรือจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่หรือช่องท้องช่วงบน ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด มักเป็นในช่วงท้องว่างหรือหิว โดยอาการดังกล่าวมักไม่เป็นตลอดทั้งวัน

          อาการปวดแน่นท้องที่บรรเทาลงได้ด้วยอาหารหรือยาลดกรด ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดมากขึ้นหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารรสเผ็ดหรือเปรี้ยวจัด เป็นต้น

          อาการปวดมักเป็นๆ หายๆ นานเป็นปี โดยมีช่วงเว้นที่ปลอดอาการค่อนข้างนาน เช่น ปวดอยู่ 1 - 2 สัปดาห์และหายไป หลายๆ เดือนจึงกลับมาปวดอีกครั้ง

          ปวดแน่นท้องกลางดึกหลังจากหลับไปแล้วจนต้องตื่นขึ้นมา ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการปวดท้องแต่จะมีอาการแน่นท้อง หรือรู้สึกไม่สบายในท้อง มักจะเป็นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือกลางท้อง รอบสะดือ ในผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีท้องอืดร่วมด้วย โดยเฉพาะหลังกินอาหารจะมีท้องอืดขึ้นชัดเจน มีลมมากในท้อง ท้องร้องโกรกกราก ต้องเรอหรือผายลมจะดีขึ้น อาจมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

          โดย เฉพาะหลังอาหารแต่ละมื้อหรือช่วงเช้ามืด ผู้ป่วยอาจมีอาการอิ่มง่ายกว่าปกติ ทำให้กินได้น้อย และน้ำหนักลดลงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอาการเรื้อรังเป็นปี แต่สุขภาพทั่วไปมักไม่ทรุดโทรม น้ำหนักไม่ลด รวมถึงไม่มีภาวะซีดร่วมด้วย

          ภาวะแทรกซ้อนของโรคแผลในกระเพาะอาหาร พบได้ประมาณร้อยละ 25 - 30 อาทิ ภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหาร พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเหลวสีดำ เหนียว คล้ายน้ำมันดิน หรือมีหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ เป็นลม

          กระเพาะอาหารทะลุ ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องช่วงบนเฉียบพลัน รุนแรง หน้าท้องแข็ง ตึง กดเจ็บมาก กระเพาะอาหารอุดตัน ผู้ป่วยจะรับประทานได้น้อย อิ่มเร็ว อาเจียนหลังอาหารเกือบทุกมื้อ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง

          การวินิจฉัยโรคแผลในกระเพาะอาหาร ในปัจจุบันถือว่าการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน เป็นวิธีที่เป็นมาตรฐานและดีที่สุด ในทางการแพทย์ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคกระเพาะอาหารและได้รับการรักษาด้วยยา ลดกรดแล้วอย่างน้อย 1 เดือนแล้วอาการไม่ทุเลาควรได้รับการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน เนื่องจากแพทย์สามารถให้การวินิจฉัยได้ทันที 



          การรักษาในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

          1. การรักษา / สาเหตุ

          ใน กรณีตรวจพบเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้การรักษาโดยมีสูตรยา 3 - 4 ชนิดร่วมกัน รับประทานนาน 1 - 2 สัปดาห์ สูตรยาส่วนใหญ่เป็นยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดกรด เพื่อรักษาแผลและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ

          ผู้ ป่วยควรได้รับการตรวจหาเชื้อซ้ำภายหลังจากได้รับประทานยาปฏิชีวนะครบแล้ว โดยอาจเป็นการตรวจโดยการส่องกล้องกระเพาะอาหารอีกครั้งเพื่อทำการพิสูจน์ ชิ้นเนื้อซ้ำ หรือทดสอบโดยการรับประทานยาสำหรับทดสอบเชื้อแบคทีเรียโดยตรง และตรวจวัดสารที่ถูกปล่อยออกมาทางลมหายใจ

          ทั้ง 2 วิธีถือเป็นวิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน หลังตรวจพิสูจน์แล้วว่าไม่พบเชื้อแบคทีเรีย โอกาสการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กซ้ำจะมีน้อยกว่า 10% ภายใน 1 ปีหลังได้รับการรักษา ส่วนการรักษาโดยยาลดกรด PPI เพียง อย่างเดียวอาจทำให้แผลหายได้เช่นกัน แต่มีผลเสีย คือ มีโอกาสเกิดแผลซ้ำได้สูง และทำให้มีโอกาสที่เชื้อแบคทีเรียจะทำลายเยื่อบุผิวกระเพาะอาหารลุกลามมาก ขึ้นได้ จึงน่าเป็นห่วงสำหรับผู้ป่วยที่มักจะรับประทานยาลดกรดเอง แล้วมีอาการเป็นๆ หายๆ โดยไม่เคยได้รับการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคที่ไม่หาย ขาดและส่งผลเสียต่อไปในอนาคตได้

          ใน กลุ่มผู้ป่วยที่รับประทานยาที่มีผลทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ควรจะหยุดยาและหลีกเลี่ยงการรับยาในกลุ่มนี้ซ้ำอีก ยกเว้นในกรณีที่ยานั้นจำเป็นต่อการรักษาโรค ผู้ป่วยควรได้รับยาลดกรดควบคู่ไปกับยาที่รับประทานอยู่เพื่อรักษาแผล ลดโอกาสการเกิดแผลขึ้นใหม่ และลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากแผล ส่วนในกรณีผู้ป่วยที่ตรวจพบภาวะกรดเกินจากเนื้องอกควรได้รับการผ่าตัด

          2. การรักษาแผล

          ผู้ ป่วยจะได้รับยาลดกรดเพื่อยับยั้งการหลั่งกรดและส่งเสริมการสมานแผล โดยเฉลี่ยเป็นเวลานาน 6 - 8 สัปดาห์ รวมทั้งผู้ป่วยควรจะงดการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ควบคุมอาหารที่เพิ่มการหลั่งกรดดังกล่าว รวมทั้งลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งการดูแลตัวเองดังนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้นได้โดยเร็ว

          ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ควรปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารอย่างไรบ้าง?

          อาหาร ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ของหมักดอง อาหารแข็งย่อยยาก อาหารประเภททอด หรือมีไขมันมาก เพราะไขมันเป็นสารที่ย่อยยากกว่าสารอาหารชนิดอื่น รวมถึงสังเกตอาหารหรือผลไม้ที่รับประทานแล้วทำให้มีอาการมากขึ้น เช่น บางคนรับประทานฝรั่งหรือสับปะรดจะปวดท้องมากขึ้น เป็นต้น ควรรับประทานอาหารอ่อน อาหารที่ย่อยง่าย เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้วจึงค่อยกลับมารับประทานอาหารที่ใกล้เคียงปกติ ได้

          การบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง มีผลต่อการเพิ่มความรุนแรงของโรคกระเพาะอาหาร กล่าวคือ ถ้ารับประทานอาหารรสจัดจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อแผลมากขึ้น มีอาการปวดมากขึ้น นอกจากนี้ ถ้ารับประทานอาหารที่ย่อยยากหรือรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป จะยิ่งกระตุ้นให้กระเพาะอาหารขยายตัวมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการปวดมากขึ้นเช่นกัน

          โรคแผลในกระเพาะอาหารจะหายขาดได้หรือไม่?

          โรค แผลในกระเพาะอาหารหายได้ แต่มีโอกาสกลับเป็นใหม่ได้อีกร้อยละ 70 - 80 ในระยะเวลา 1 ปีหลังให้การรักษา ซึ่งลักษณะเช่นนี้เป็นธรรมชาติของโรค คือ จะมีลักษณะเรื้อรังและกลับเป็นซ้ำได้ หลังได้รับยาอาการปวดมักจะทุเลาลงในระยะ 7 วันแต่แผลจะยังไม่หาย

          ส่วน ใหญ่ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยารักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน 8 -12 สัปดาห์ แผลจึงจะหาย เมื่อหายแล้วก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีกถ้าไม่ระวังเรื่องการปฏิบัติตัว ให้ถูกต้อง หรือถ้ายังไม่สามารถกำจัดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรให้หมดไปได้ 

ที่มา : สสส.  และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

9 วิธีการแก้อาการท้องผูก

ท้องผูกเรื่องน่าหงุดหงิดที่ไม่ค่อยอยากบอกคนใกล้ตัว ในประเทศอังกฤษ พบว่า มีผู้ที่มีอาการท้องผูกกว่า 6 ล้านคน จากข้อมูลพบว่าคนไทยมีปัญหาท้องผูกกว่า 1 ล้านคน (ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร) พบว่า ผู้หญิงมีปัญหาท้องผูกมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวัยกลางคนขึ้นไป และพบมากขึ้นในผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
      
            นพ.อิทธิชัย วัชรีคุปต์ สาขาอายุกรรมทั่วไป ประจำกล้วยน้ำไท 2 เปิดเผยว่า ผู้ สูงอายุมักมีปัญหาเรื่องท้องผูก เพราะมักจะรับประทานอาหารที่เคี้ยวง่าย ซึ่งส่วนใหญ่อาหารกลุ่มนี้มักไม่ค่อยมีกากใย ดื่มน้ำน้อยลงเพราะกังวลเรื่องการเข้าห้องน้ำ การเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่น้อยลง รวมถึงไม่ค่อยออกกำลังกาย ทำให้ลำไส้ไม่ค่อยบีบตัว นอกจากนี้ โรคบางโรคยังส่งผลต่ออาการท้องผูก เช่น โรคเบาหวาน
      
       สำหรับ หนุ่ม-สาวออฟฟิศ สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก นพ.อิทธิชัย กล่าวว่า พบบ่อยคือผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ดังนี้
      
       1.ได้รับไฟเบอร์ไม่เพียงพอ แนะนำให้กินอาหารที่มีไฟเบอร์ ซึ่งมีมากในข้าวซ้อมมือ ถั่วต่างๆ ผลไม้สด และผัก ควรรับประทานผัก ผลไม้ 5 ส่วนใน 1 วัน
      
       2.ดื่มน้ำไม่เพียงพอ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว น้ำช่วยให้อุจจาระนิ่มขึ้น และระบบการขับถ่ายทำงานง่ายขึ้น
      
       3.ออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 ครั้ง และเลือกกีฬาที่ทำให้ลำไส้มีการขยับตัว เช่น เดิน วิ่ง ฯลฯ
      
       4.กลั้นถ่าย ดังนั้น ควรรีบเข้าห้องน้ำทุกครั้งเมื่อรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ
      
       5.ทานยาบางตัวที่ส่งผลให้ท้องผูก เช่น ยาลดความดันบางตัว อาหารเสริมธาตุเหล็ก ยาแก้ปวดบางตัว ยาคลายเครียดบางชนิด ฯลฯ
      
       6.รับประทานยาถ่ายเป็นประจำ ยาถ่ายทำให้ถ่ายง่ายขึ้น แต่ก็ต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ
      
       7.ความ เปลี่ยนแปลงทางร่างกาย หรือชีวิตประจำวัน เช่น ตั้งครรภ์ การเดินทาง ฯลฯ การตั้งครรภ์ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือมดลูกกดทับลำไส้ ส่วนการเดินทางทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอาหารที่รับประทาน และชีวิตประจำวัน

รู้ได้อย่างไรว่า ท้องผูก หรือไม่ ?

       เรามักเข้าใจว่า ต้องเข้าห้องน้ำทุกวัน แต่ร่างกายบางคนแตกต่างกันออกไป ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกคือผู้ที่ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ผู้ที่มีปัญหาถ่ายอุจจาระยากต้องใช้แรงเบ่งมาก หรือผู้ที่ถ่ายอุจจาระไม่สุดอยู่บ่อยๆ
             
9 ทริก ง่ายๆ ช่วยแก้อาการ ท้องผูก
      
       1.ทานเม็ดแมงลักแช่น้ำ ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา แช่น้ำให้พองเต็มที่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว (250 ซีซี)
      
       2.มะละกอสุก ประมาณ 1/4 ลูก
      
       3.ดื่มน้ำอุ่น 3-4 แก้ว (750-1,000 ซีซี) ขณะท้องว่าง ควรดื่มภายใน 10 – 15 นาที หลังลุกจากที่นอน (ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือ 05.00-07.00 น.) ควรยืนดื่มน้ำ เพื่อไม่ให้รู้สึกจุก เดินไปมาเพื่อให้ลำไส้ขยับตัว
      
       4.ลูกพรุนแห้ง ควรรับประทานทานตอนกลางคืนก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรทานมาก และไม่ควรทานบ่อยเนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูง
       
       5.น้ำมะขามเปียกค่อนข้างเข้มข้น ประมาณ 1 แก้ว ควรดูปริมาณที่เหมาะสมกับตัวเอง
      
       6.ขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ควรกลั้นอุจจาระ
      
       7.ควรเดินออกกำลังกาย ประมาณ 20-30 นาที จะทำให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
      
       8.นวดบริเวณลำไส้ใหญ่ โดยนวดที่บริเวณใต้สะดือ ใช้มือนวดวนตามแนวลำไส้ใหญ่ (ทวนเข็มนาฬิกา) ทำสักพักจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ
      
       9.นั่ง ถ่ายในลักษณะชันเข่า ท่านั่งที่ดีที่สุดในการเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่าย คือ การนั่งยอง ๆ แบบส้วมหลุม เนื่องจากทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Rectum) อยู่ ในลักษณะตรง ทำให้ขับถ่ายได้ง่าย และไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งถ้าที่บ้านเป็นชักโครก สามารถแก้ปัญหาได้ง่ายๆ ด้วยการใช้เท้าชันบนกล่อง หรือถังขยะในลักษณะที่ให้เข่ายกสูงขึ้น แต่เท้าอยู่บนกล่องแต่เป็นระนาบเดียวกับพื้น

ที่มา : สสส.

อาการเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวต่ำ

มันเป็นโรคทางพันธุ์กรรมหนะค่ะ อันตรายใหม ? ขึ้นยุกับว่า ที่บอกว่าต่ำหมอบอกว่า เท่าใหร่? ถ้าต่ำมาก ๆ อาจจะต้องรับบริจากเกล็ดเลือด แต่ว่ามานก้อต้องเป็นเกล็ดที่เข้ากันได้ แต่มานก้อหายากสุด ๆ แต่ถ้าเป็นไม่มากก้อฉีดยาทานยาได้ค่ะ ต้องพบแพทย์ประจำ ห้ามตั้งครรภ์นะค่ะ อันตรายที่สุดต้องยุในความดูแลของแพทย์เท่านั้น พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้ครบ ห้าหมู่ เน้น เนื้อ นม ไข่ ตับ เครื่องในค่ะ มานจะช่วยสร้างเกล็ดเลือด พักผ่อนให้พอ อย่างน้อย 6-8 ชม.ต่อวันค่ะ ทำได้แค่นี้ก้อปลอดภัยแล้วค่ะ อย่าพยายามเป็นแผลด้วยที่สำคัญ อาการอาจจะแย่ลงค่ะ ยังไงอย่าลืมออกกำลังกายประจำด้วย และพบแพทย์เพื่อตรวจเกล็ดเลือด อย่างน้อย หกเดือนครั้งค่ะ 



วิธีการเพิ่มเม็ดเลือดขาว

เม็ดเลือดขาวอยู่ในระบบภูมิคุ้มกัน ปริมาณปกติอยุู่ระหว่าง 4,000-10,000 วิธีการเพิ่มเม็ดเลือดขาว มีดังนี้ค่ะ

    1. รับประทานอาหารโปรตีนสูง โดยควรได้รับโปรตีน 1.5 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เน้นว่าควรต้องเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ได้แก่
       -  รับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาทิ เนื้อปลา เนื้ออกไก่ สันในหมู
       -  รับประทานไข่ทุกวัน ไม่ต้องกลัวเรื่องคอเลสเตอรอลเพราะมีผลน้อยมากหากเทียบกับประโยชน์ที่จะได้ รับ อาจจะรับประทานไข่ขาวเพิ่มให้ได้วันละ 4 ฟอง
       -  รับประทานนมไขมันต่ำ
       -  รับประทานผักจำพวกเห็ดซึ่งก็ให้โปรตีนเหมือนกัน
       -  รับประทานผักผลไม้หลากสี

    2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะหากขาดการพักผ่อนภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวจะต่ำทันที
    3. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่มีผลทำลายภูมิคุ้มกัน อาทิ อาหารที่ไม่สะอาด สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี สถานที่ที่มีคนมาก เพราะหากเราเม็ดเลือดขาวต่ำอยู่แล้วจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งก็ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงอีก
    4. ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที โดยต้องให้เหงื่อออก หัวใจเต้นเร็วขึ้นซึ่งนั่นหมายถึงมีการสูบฉีดโลหิตมากขึ้น
    5.  ทำจิตใจให้สบายไม่เครียด เพราะความเครียดมีผลกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันค่ะ

มะเขือเทศดีอย่างไร


ประโยชน์และสรรพคุณมะเขือเทศนั้นมีมากมายจริง ๆ เลยค่ะ คุณผู้หญิงอยากจะมีผิวสวยเปล่งปลั่งมักจะเลือกที่จะรับประทานมะเขือเทศเป็น ของว่างอยู่เสมอ นอกจากจะบำรุงผิวพรรณแล้ว สรรพคุณมะเขือเทศ ยังมีมากกว่านั้นอีกค่ะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่มักนำ ประโยชน์ของมะเขือเทศ มาทำเป็นอาหารช่วยปรุงและแต่งเติมสีสันบนจานอาหารได้ดูน่าทานมากมายทีเดียว ค่ะ ประโยชน์และ สรรพคุณมะเขือเทศ ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้นะค่ะ เพราะมะเขือเทศยังจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยรักโรคบางอย่างได้ดีอีกด้วยค่ะ ว่าแล้วเราก็มาดู ประโยชน์และสรรพคุณมะเขือเทศ 

- ใบหน้าเปล่งปลั่งสดชื่น

กรด ผลไม้ในมะเขือเทศมีสรรพคุณช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายให้หลุดลอกทำให้ผิวเปล่ง ปลั่ง นำมะเขือเทศขนาดปานกลาง 1 ผลไปบดให้ละเอียดด้วยเครื่องปั่น กรองด้วยผ้าขาวบางคั้นเอาน้ำเติมนมข้นจืดในปริมาณเท่ากับน้ำมะเขือเทศที่ได้ นำส่วนผสมที่ได้มาลูบไล้ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก


- ล้างพิษด้วยน้ำมะเขือเทศ

มะเขือ เทศอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินเอ ซี และอี ซึ่งช่วยเสริมสร้างพลังงานและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย นำมะเขือเทศหั่นเป็นชิ้น ๆ จำนวน 450 กรัม น้ำมะนาว 2 ช้อนชาใส่ในเครื่องปั่น เติมเกลือและพริกไทยอีกประมาณหยิบมือปั่นส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากันดื่มเป็น ประจำทุกเช้าจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า


- ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

ใคร จะคิดบ้างว่าการกินซอสมะเขือเทศช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ มะเขือเทศช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ปลายลำไส้ใหญ่และปลายทวารหนักได้ถึง 60% และยังช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งที่อัณฑะในเพศชาย มีหลักฐานระบุว่า มะเขือเทศปรุงสำเร็จรูปมีไลโคปีน (Iycopene) ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นอย่าลืมให้ซอสมะเขือเทศเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องปรุงอาหารของคุณ รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ากินทิ้งขว้างเหยาะให้เกลี้ยงไม่ให้ติดเหลือก้นขวด


- ลดการบวม

โป แทสเซียมจำนวนมากในมะเขือเทศช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเซลล์และเนื้อเยื่อลด บวมตามร่างกายหรือที่เรียกว่าบวมน้ำ บรรเทาอาการอักเสบบวม อย่าลืมรับประทานสลัดที่มีมะเขือเทศเป็นอาหารมื้อต่อไปเพื่อเพิ่มคุณค่าทาง อาหาร


ไม่เพียงแค่นั้นเมล็ดของมะเขือเทศยังเอามาปลูกเพื่อขยายพันธุ์ได้หรือนำ มาสกัดเอาน้ำมันเพื่อมาใช้ในอุตสาหกรรมสบู่ อุตสาหกรรมสี และกากที่เหลือยังใช้เลี้ยงสัตว์กับเป็นปุ๋ยได้อีกด้วย

เห็นไหมค่ะว่าประโยชน์และสรรพคุณของมะเขือเทศมีมากมายขนาดนี้แล้วอย่าลืมที่จะหันมาเลือกทานมะเขือเทศกันเยอะ ๆ นะค่ะ

Monday, July 23, 2012

สุดยอดผักและผลไม้ 7 ชนิด ผลไม้ 5 สีมีประโยชน์

 
 
เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุก วัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

 ลูกพรุน (Prunes)
        ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด

 ถั่ว
          ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิด ที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย)ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว และอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก


 แอปเปิ้ล            
มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ เพคติน แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว เพคตินนี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้ง และน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที


บรอคโคลี่           
เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัว ซีลีเนียมนี้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

 กล้วยไข่            
กล้วยทุกชนิด ดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ

 ฝรั่ง
           ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของ คุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหัน มารับประทานฝรั่งเป็นประจำ

  ส้ม
          แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคา ที่ถูกกว่าด้วย

        ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น สำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้ แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน

ผักและผลไม้ 5 สี ดีมีประโยชน์

จากงานวิจัย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่า ชายไทยร้อยละ 80 กินผักผลไม้เพียง 268 กรัม/คน/วัน และหญิงไทยร้อยละ 76 กินผักผลไม้เพียง 276 กรัม/คน/วัน ซึ่งตัวเลขนี้ห่างจากมาตรฐานที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 400-500 กรัม/คน/วัน พอสมควรทีเดียว และจากจุดนี้นี่เองที่ทำให้เราป่วยเป็นโรคง่าย เพราะได้รับคุณค่าของสารอาหารไม่เพียงพอ และอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว การ ไม่กินผักทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย อาทิ ท้องผูก ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา อาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ

ทั้งหมดจึงเป็นสาเหตุที่เราจำเป็นจะต้องหันมากินผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับไฟโตนิวเทรียนท์ที่มากพอ และการที่จะได้รับอย่างมากพอนั้น ก็ไม่ควรกินผัก ผลไม้เพียงแค่ชนิดเดียว ควรกินให้ครบ 5 สี ทั้ง แดง เหลือง เขียว ม่วง ขาว เพราะแต่ละชนิดให้คุณค่าของสารอาหารไฟโตนิวเทรียนท์ที่แตกต่างกันไป

อย่างใน ผักผลไม้สีแดง ที่ เห็นคุณประโยชน์เด่นชัดเลยก็คือ มะเขือเทศ ทับทิม อะเซโรล่าเชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ หรือแม้กระทั่งลูกแอปเปิ้ลแดงก็ตาม ในผัก ผลไม้สีแดงนี้จะมีสารไลโคปิน กรดเอลลาจิก แอนโธไซยานิน และกรดแกลลิก ที่ช่วยทำให้ระบบการทำงานของต่อมลูกหมากดีขึ้น ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิดอีกด้วย

สำหรับ ผักผลไม้สีเหลืองส้ม จะช่วยในเรื่องของผิว เพราะมีเบต้าแคโรทีนอยู่จำนวนมาก เช่น แครอต ฟักทอง ข้าวโพด ใครที่กินผัก ผลไม้ประเภทนี้มากๆ ผิวจะกลายเป็นสีเหลือง นั่นเป็นเพราะสารเบต้าแคโรทีนไปสะสมอยู่ตรงบริเวณผิวหนัง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าใครมีค่าเบต้าแคโรทีนสูงๆ ก็ยิ่งมีค่าความเสี่ยงลดลง ดังนั้นหากใครกลัวว่าผิวจะเป็นสีเหลืองเพราะกินเบต้าแคโรทีนมากไป คงต้องหันไปกลัวว่าความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังจะเพิ่มมากขึ้นแทนดีกว่า

ผักผลไม้สีเหลืองยังมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล และยังมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าด้วยว่าลองกินมะละกอห่ามๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานถึง 2 ปี มีสิทธิ์ทำให้สีผิวหน้าที่เป็นฝ้าลดลงได้ รวมทั้งข้าวโพดเหลืองๆ ที่ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรตินาของดวงตาได้อีกด้วย
ต่อจากแดง เหลือง ก็มาถึงผักสีเขียวที่ แทบจะเรียกได้ว่ามีมากที่สุดในบรรดาผัก ผลไม้ต่างๆ เช่น บร็อคโคลี่ คะน้า กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง กวางตุ้ง โหระพา กะเพรา สะระแหน่ และวอเตอร์เครส โดยในผักสีเขียวจะอุดมไปด้วยสารไอโซไธโอไซยาเนท ลูทีน ซีแซนทีน แคททิชิน สารอาหารเหล่านี้จะเข้าไปมีส่วนช่วยทำให้เซลล์สามารถทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสนับสนุนการทำงานของปอด หลอดเลือดแดง และตับอีกด้วย

ผักผลไม้สีขาว อย่าง กระเทียม หอมใหญ่ เห็ด กะหล่ำดอก ผักกาดขาว ดอกแค และมะขามเปราะ ก็มีสารอาหารที่ช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรงเช่นกัน โดยในกระเทียมมีอัลลิซิน เควอซิทิน ที่ช่วยดูแลในเรื่องของกระดูก และทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายดี ดอกแคก็มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคหวัดได้ และยังมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยให้ผิวสวยอีกต่างหาก

สำหรับผักผลไม้สีสุดท้ายนั่นก็คือ สีม่วง น้ำเงิน เป็นกลุ่มที่มีสารแอนโทไซยานินที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ สามารถพบได้ง่ายๆ ในกะหล่ำปลีสีม่วง มะเขือม่วง หรือบลูเบอร์รี่ก็ได้เช่นกัน นอกจากนั้นแล้วสารแอนโทไซยานินยังมีส่วนในการช่วยขยายหลอดเลือดทำให้ความ เสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและอัมพาตลดลงได้เช่นกัน

ในการกินผักผลไม้นั้น นอกจากจะได้รับสารไฟโตนิวเทรียนท์อย่างครบถ้วนแล้ว ยังได้ในเรื่องของกากใยเพื่อช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายอีกด้วย นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บได้ เร็วขึ้นอีกด้วย ลองเริ่มใส่ใจในการกินผักผลไม้ 5 สีตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพของเราที่ดีในวันข้างหน้ากันเถอะครับ

ขอบคุณเนื้อหาจาก ..สสส. และสนุกดอทคอม

มังคุดช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง



ใครที่ชอบทานมังคุด ทราบหรือไม่ว่า มังคุดก็สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...

นัก วิทยศาสตร์ ได้ศึกษาสารสกัดจากเปลือกมังคุดพบฤทธิ์จู่โจมเฉพาะเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยไม่สร้างความเสียหายให้เซลล์ดีที่อยู่รายรอบผลการทดลอง สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี แม้จะใช้เพียงเล็กน้อยเพียง 4 มิลลิกรัมก็ตามสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่นำมาใช้ในการศึกษานี้

ได้ รับการสนับสนุนจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยการทดสอบพบว่า สารสกัดในปริมาณ 4 มิลลิกรัม ดังกล่าว สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้กว่า 50% ของเซลล์มะเร็งทั้งหมด และจากการขยายผลนำสารสกัดไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งอื่น

ก็พบว่าสามารถออกฤทธิ์ดีในการทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้และเซลล์มะเร็งตับรู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมาทานมังคุดกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี

ประวัติของมังคุด

มังคุด (อังกฤษ: Mangosteen) ชื่อวิทยาศาสตร์: Garcinia mangstana Linn. เป็นพันธุ์ไม้ไม่ผลัดใบเขตร้อนชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ที่หมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ แพร่กระจายพันธุ์ไปสู่หมู่เกาะอินดีสตะวันตกเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 24 แล้วจึงไปสู่ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ปานามา เอกวาดอร์ ไปจนถึงฮาวาย ในประเทศไทยมีการปลูกมังคุดมานานแล้วเช่นกัน เพราะมีกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในสมัยรัชกาลที่ 1

มังคุดเป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูง 7-25 เมตร ใบเดี่ยวรูปรี ดอกออกเป็นคู่ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ผลแก่เต็มที่มีสีม่วงแดง กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลืองติดอยู่จนเป็นผล ผลมีเปลือกนอกค่อนข้างแข็ง เนื้อในมีสีขาวฉ่ำน้ำ อาจมีเมล็ดอยู่ในเนื้อผลได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จำนวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจำนวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของเปลือก ผลมังคุดมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเหมือนสตรอเบอรี่ที่ยังไม่สุกหรือส้มที่มีรสหวาน เมล็ดไม่สามารถใช้รับประทานได้ มังคุดเป็นผลไม้จากเอเชียที่ได้รับความนิยมมาก มังคุดได้รับขนานนามว่าเป็น "ราชินีของผลไม้" อาจเป็นเพราะด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติด อยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด มีรสชาติที่แสนหวาน อร่อยอย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้ ปัจจุบันมีการเพาะปลูกและขายบนเกาะบางเกาะในหมู่เกาะฮาวาย ต้นมังคุดต้องปลูกในสภาพอากาศอบอุ่น


สรรพคุณต่างๆ จากมังคุด
  1. ผลของการศึกษาฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระโดยวิธี ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ทำการเปรียบเทียบระหว่างน้ำผลไม้อื่นๆและมังคุด พบว่า มังคุดมีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระมากกว่า แครอท ราสเบอรรี่ บลูเบอรรี่ ทับทิม
  2. ผลจากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารแซนโทน จึงป้องกันการเกิดออกซิเดชันของ LDL ซึ่งเป็นคลอเลสเตอรอลตัวร้าย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอีกทั้งยังลดการทำลายเซลล์ อันเป็นผลจากปฏิกิริยาลูกโซ่ จึงช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการแก่ได้ด้วย
  3. มีผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่างๆรวมถึงการตายของเซลล์มะเร็งในการศึกษาระดับห้องปฎิบัติการ เช่น เซลล์มะเร็งเต้านม, เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว, เซลล์มะเร็งตับ, กระเพาะอาหาร และเซลล์มะเร็งปอด
  4. มีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อวัณโรค, เชื้อ S. Enteritidis และเชื้อ HIV
  5. สามารถยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคภูมิแพ้
  6. สามารถยับยั้งการสังเคราะห์สารพลอสตาแกลนดินอีทู ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกระบวนการอักเสบต่างๆ เช่น การปวดอักเสบ กล้ามเนื้อและข้อ
  7. มีฤทธิ์ในการช่วยขยายตัวของหลอดเลือด ดังนั้นจึงมีประโยชน์ในการลดความดันโลหิต

ข้อดี ข้อเสียของกลูต้าไธโอน(Glutathione)


ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนนะคับ ว่า อะไรคือ กลูต้าไธโอน
 

L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน)เป็นสารประเภท Tripeptide(แป๊ปไทด์) ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine (ซิสเทอีน) , Glycine (ไกลซีน) และ Glutamic acid (กลูตามิกแอซิต) พบมากที่ตับของมนุษย์  และมันยังเป็นกรดอะมิโนที่สำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกระ, ฝ้า และจุดด่างดำ นอกจากนี้พบว่าผู้ที่มีสภาพการทำงานของตับบกพร่อง ผู้ที่ทานแอลกอฮอล์เป็นประจำ รวมทั้งผู้ป่วยโรคตับอักเสบและตับแข็ง จะพบ L-Glutathione (แอลกลูต้าไธโอน) ในตับมีปริมาณน้อย ไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ประโยชน์ได้ จำเป็นต้องได้รับเสริมเข้าไปโดยตรงจากแหล่งอาหารอื่นๆ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์บางชนิด รวมทั้งที่อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วย
 

ประโยชน์ของแอล-กลูต้าไธโอน  L-Glutathione
1.    Antioxidation : L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน) จะถูกเปลี่ยนไปเป็นเอนไซม์ Glutathione Peroxidase มีคุณสมบัติเป็นสาร Antioxidant ที่สำคัญของร่างกาย ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย
2.    Detoxitication : L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน) ช่วยสร้างเอนไซม์ชนิดต่างๆในร่างกาย โดยเฉพาะ Glutathione-S-transferase ที่ตับ ช่วยในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษ ชนิดไม่ละลายน้ำ(ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ไม่อันตราย และละลายน้ำได้ดีขึ้นแล้วขับออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์การสะสมของ Acetaldehyde(ทำให้เกิดอาการเมาค้าง) บุหรี่ และยา
3.    Immune Enhancer : L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน) จะส่งผลในการเพิ่มความสามารถในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคของเม็ดเลือด ขาว ชนิด Neutrophils และยังเพิ่มความสามารถในการทำงานของ เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานของร่างกายด้วยทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้ม กันเพิ่มมากขึ้น
4.    Beauty and Whitening : รังสี UV-A และ UV-B ในแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินและอนุมูลอิสระ ทำลายเซลล์ผิว ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำและเกิดฝ้า L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน) มีคุณสมบัติช่วยในการต่อต้านกลไกของอนุมูลอิสระ ที่ทำให้เกิด Lipid peroxide ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้า นอกจากนี้ L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน) ยังไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ Tyrosenase ส่งผลให้เม็ดสีเมลานินไม่ถูกสร้างขึ้น ทำให้ผิวค่อยๆขาวขึ้น


5.  Male Fertity : L-Glutathione (แอล กลูต้าไทโอน) ทำให้ Sperm เคลื่อนที่ได้และลดอัตราการตายของ Sperm ด้วย

ข้อเสีย คือ อาจ มีผลข้างเคียง เช่น ผิวหนังแดง ความดันต่ำ หอบหืดเฉียบพลัน อาจเกิดอาการแพ้สาร Anaphylactic Reaction จากการปนเปื้อนหรือความไม่บริสุทธิ์
ห้ามใช้ในรายของผู้ที่เพิ่งผ่าตัดอวัยวะใหม่ ๆ หรือผู้มีโรคหอบครับ


ริดสีดวงทวร ต้องใช้ยาอะไร

เรื่องของริดสีดวงหากใครเป็นแล้วก็คงอายไม่กล้าที่จะไปพบแพทย์ ต้องนั่งขาหยั่งให้หมอดู หมอก็จะใช้เครื่องมือแหย่เข้าไปที่รูทวารหนัก เจ็บมากๆ เดินก็เดินแทบไม่ได้อยู่แล้ว  หลายต่อหลายคนก็ต้องมาหาข้อมูลกันก่อนทางอินเตอร์เน็ต  สำหรับบทความนี้จะมาแนะนำว่าถ้าเป็นจริงๆ ควรจะทำอย่างไร


หากหาหมอจะได้ยามา คือ
  1. ยาเม็ด (ต้องทานทุกคน)
  2. ยาป้าย
  3. ยาเหน็บ
2 กับ 3 แล้วแต่ประเภทของริดสีดวง
ยาสมุนไพรชื่อ เพชรสังฆาต รักษาหายขาด รับรองโดย อย. มีขายตามร้านขายยาทั่วไปคะ


เทคนิคขาวได้ใน 30 นาที (แชร์)



เทคนิคการทำให้ผิวขาวได้ใน 30 นาที นี้เป็นแชร์ประสบการณ์ของพี่ท่านหนึ่ง เรื่องการทำให้ผิวขาว แต่จะดีไม่ดี  ควรใช้วิจารณ์ญาณในการอ่าน และตัดสินใจ ดูเองนะคะ

ขอแทนตัวเองว่า เอ
เอเป็นคนใต้ แน่นอน ผิวคล้ำเป็นปกติ  แต่เอมีเคล็ดลับทำให้ผิวขาว

ขอ เกริน นำก่อนเลยว่า โลชั่นพอกผิวขาวที่โฆษณาอยู่ส่วนมากมีส่วนผสมของไฮโดรเจน  80% ส่วนอื่นๆๆ ที่แอบอ้างในฉลาก อาจจะมีแค่ 0.0001% ดังนั้นคุนควรจะเสียเงินแพงๆๆ เพื่อซื้อไฮโดรเจนที่มีขายตามท้องตลาดแค่ขวดล่ะ 30 - 40 บาททำไม  วิธีนี้ไม่ให้การทำให้ผิวขาวถาวร เพราะคงไม่มีสิ่งใดที่ทำครั้งเด๋วแล้วขาวถาวร  นอกจากน้ำกรด และน้ำร้อนลวก

คล็ด ลับของเอ คือ ซื้อไฮโดรเจนที่เขานำมาผสมในโลชั่นพอกผิวที่ราคาโครตแพงนี่แหละ ไปวื้อมาเลยขวดไม่กี่บาท  กี่เปอร์เซ็นก็ได้ตามที่ต้องการ พอกลงไปเลยบนผิว ทิ้งไว้ 10 -20 นาที ตามที่จะทนได้ เพราะมันคันมาก หรือถ้ามันเหลวเกินไปก็เอาไปผสมกับโลั่นที่เราชอบใช้ (เอาเปอร์เซ็นสูงหน่อยน่ะ) ลองทีล่ะข้างเผื่อพิสูจ ว่าขาวจิง  พอกเสจก็นำใยบวบมาถู อย่าแรงมาก  หลังจากนั้นก็พอกโลชั่นบนตัวไปเลย   แค่นี้ก็สวย  แนะนำเซ่รั่มของ NIVEA หรือ เซรั่มตัวใหม่ของมีสทีนที่มีคำว่าวุฒิศักดิ์  รับรองขาว เพราะเอใช้อยู่  และตอนนี้ ความขาว ระดับ 8 เต็ม 10 ที่ระดับนี้เพราะสีผิวไม่สม่ำเสมอ 

ทุกอย่าง ก็ อันตราย อยู่ที่ว่าจะอันตรายน้อยหรือมาก อันนี้ที่ใช้ก็อันตราย แต่ควรใช้ในปริมาณที่ไม่บ่อย ควรจะเดือนล่ะครั้ง  เราก็รู้ว่าอันตราย แล้วจะทำบ่อยทำไม  และครีมที่คุนใช้อยู่ตอนนี้ ยาที่กินอยู่ตอนนี้ อันตรายแค่ไหน  โปรดใช้วิจารณ์ญาณ เพราะเอจะทำเฉพาะ ตอนออกงานเท่านั้น เพราะมันขาวเว่อ 

ออกกำลังกาย ต้องมีเหงื่อเยอะๆถึงจะดีจริง?



การออกกำลังกายถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพน่ะค่ะ แต่ทำไมหลายๆคนคิดไปว่าออกกำลังกายจะดีได้นั้นต้องออกเยอะๆ และเหงือก็ออกเยอะด้วย ยิ่งเยอะยิ่งดี ความคิดนี้เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่


และเป็นความเชื่อที่ผิด น่ะค่ะ เพราะการเผ่าพลาญพลังงานที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ จะเกิดได้เฉพาะเมื่อออกกำลังกายเท่านั้นค่ะ แต่เวลาที่ออกกลังกายแล้วเหงือเยอะเนี้ย เป็นเพราะว่าร่างกายของเราถูกความร้อนมากระทบทำให้เกิดการหลั่งของเหงือ เพื่อเป็นการระบายความร้อนเท่านั้นแหละค่ะ ไม่ได้หมายความว่าพลังงานถูกใช้ไปมากมายตามปริมาณของเหงือหรอกค่ะ


ดัง นั้นการเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยานหรือว่าทำงานบ้าน เพียงแค่ออกแรงต่อเนื่อง 30 นาที และทำให้ได้ทุกวัน ก็จะถือว่าเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพแล้วแหละค่ะ ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักๆ และมีเหงือออกมากเสมอไป
 
คนเราไม่ต้องออกกำลังกายเลย ก็มีสุขภาพดีและแข็งแรงได้ โดยการใช้หลักการหายใจลึกๆ ยาวๆ สูดออกซิเจนเข้าไปในปอดให้มากๆ บ่อยๆ ทุกๆวัน

หรือกินสมุนไพรบางอย่าง เพื่อช่วยทำให้ปอดขยายตัวใหญ่ขึ้นและช่วยในการหายใจให้ปริมาณออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น

อะไรที่ทำให้หายเครียด



ในหัวข้อนี้เรามาลองลิสต์รายการสิ่งที่ช่วยทำให้เราไม่เครียดกันดูเป็นข้อๆ 


  1. อย่าคาดหวังอะไรสูง จะได้ไม่ผิดหวัง ไม่เครียด ทำให้ดีที่สุดก็พอ
  2. ปล่อยวาง มองโลกในแง่ดี เช่น พบปัญหาอย่าท้อแท้ เปลี่ยนเป็นคิดว่าต้องแก้อย่างไร ถ้าเราแก้เองไม่ได้ก็ให้ผู้ใหญ่ช่วย
  3. ฝึกตัวเองเวลาพบปัญหาให้ใช้เหตุผลมาพิจารณาก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองเครียด แล้วจะพบว่าปัญหาส่วนใหญ่แก้ได้
  4. ความสุข ไม่มีหนี้
  5. ยิ้มเข้าไว้ ยิ้มเข้าไว้ แต่ถ้ายิ้มทั้งวัน นั้นก็บ้า
  6. ใจที่ไม่เครียด..
  7. กินค่ะ เพราะคนชอบพูดกันว่ากินแก้เครียด (แต่คงมาเครียดหนักตอนอ้วน อิอิ)  
  8. การไม่เป็นโรคภีย ใด ๆ เบียดเบียนสุขภาพทางกาย ก็จะส่งผลต่อสุขภาพจิตใจเป็นสุข ตามมาด้วยค่ะ 
จริงๆแล้วความเครียดเกิดขึ้นภายในจิตใจ หากเรารู้จักควบคุมจิตเรา หันเข้าหาธรรมะ นั่งสมาธิ จิตใจก็จะมีเครื่องยึดเหนี่ยว ไม่วอกแวกไปหากเรื่องที่เครียดๆ  แล้วเพื่อนๆ ล่ะ คิดว่ามีอะไรบ้างที่ช่วยให้หายเครียด มันมีมากกว่า 8 ข้อนี้แน่นอน......

มะนาวทำให้สวยได้ มีประโยชน์มากกว่าคำว่าเปรี้ยว

 

มะนาว เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่เมื่อพูดถึงแล้ว ใคร ๆ หลายคนคงนึกถึงรสชาติที่เปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟัน แต่ขณะเดียวกัน หาก นึกถึงคุณประโยชน์ด้านต่าง ๆ ของมะนาวอาจพบว่ามีมากมาย โดยนอกจากคุณแม่บ้านจะมีไว้ติดครัวเพื่อปรุงรสต้มยำหรือสารพัด ยำให้แซบถูกปากแล้ว ในสรรพคุณทางยา “มะนาว” ยังสามารถใช้รักษาโรคต่าง ๆ รวมทั้งเป็นเครื่องประทินความงามได้อย่างดีอีกด้วย
    ลักษณะทั่วไปของมะนาวเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ทรงพุ่ม ตัวใบรูปร่างกลมรี ขอบใบหยักเล็กน้อย ปลายและ โคนใบมน ดอกเล็กสีขาวอมเหลือง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลกลมเปลือกบางเรียบ มีน้ำชุ่มมาก รสเปรี้ยว เปลือกผลมีน้ำมัน กลิ่นหอม รสขม สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดโดยเฉพาะดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี ควรปลูกในฤดูฝน ช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ ต้องรดน้ำทุกวันและไม่ควรโดนแดดมาก โดยมีความเชื่อตามตำราพรหมชาติฉบับหลวงกล่าวไว้ว่า มะนาวเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน กำหนดปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ) เพื่อผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านจะได้มีความสุขสวัสดี

     มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลาย ชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค วิตามินซี ซึ่งได้จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอและซี รวมทั้งมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาว มีสรรพคุณทางยาคือ เปลือกผล มีรสขม ช่วยขับลม รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด วิธีทำยา นำเอาเปลือกของผลสดประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอให้น้ำมันออก ชงน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการ ส่วน น้ำมะนาว รักษาอาการไอและขับเสมหะ โดยใช้ผลสดคั้นน้ำจะได้น้ำมะนาวเข้มข้น ใส่เกลือเล็กน้อยจิบบ่อย ๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงให้รสเข้มข้นพอควร ดื่มบ่อย ๆ หรือนำน้ำมะนาวผสมดินสอพองใช้ทาบริเวณ หัวโน จะทำให้เย็นและยุบลงเร็ว

    ประโยชน์ของน้ำมะนาวซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นที่รู้จักกันดีคือ
มีวิตามินซีสูงมาก รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ดี นอกจากนี้ยังมี ประโยชน์ด้านความงามโดย เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทา บริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า จะช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี สำหรับใบหน้าสามารถแก้สิวฝ้าได้ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง ซึ่งมะนาวจะช่วยรักษาสิวให้ลดน้อยลงได้เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วหลุดออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน ช่วยกำจัดเชื้อโรคและไขมันได้ด้วย การใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อย ๆ ยุบหายไปในที่สุด ส่งผลให้ใบหน้าสวยใส


แล้วมะนาวมีประโยชน์ต่อความงามอย่างไร ลองมาดูเป็นข้อๆ กันเลยดีกว่า

Lemon Cosmetic เครื่องสำอางค์ก้นครัวจากมะนาว

- ในน้ำมะนาวนั้นนอกจากจะมีกรดอ่อนๆ ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่แล้ว ยังมีวิตามินซีสูงอีกด้วยนะคะ เพราะฉะนั้น สาวคนไหนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสิว หน้ามัน หรือหน้าตาหมองคล้ำเกินกว่าวัย น้ำมะนาวเป็นทางออกที่เหมาะสมกับสาวๆ กลุ่มนี้มากเลยค่ะ และเรามาสามารถประยุกต์น้ำมะนาวใช้แทนเครื่องสำอางค์หลายๆ ตัวได้ด้วยค่ะ

แต่ ถึงมะนาวจะมาจากธรรมชาติ ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้กันทุกคนนะคะ เพราะสาวๆ ที่ มีผิวหน้าบาง แพ้ง่าย หากรู้สึกแสบหน้าหรือผิวกาย หน้าเริ่มแดง ไม่ควรใช้น้ำผสมน้ำมะนาวล้างหน้า และไม่ควรพอกหน้าในสูตรที่ใช้น้ำมะนาวบ่อยๆ เพราะจะยิ่งทำให้หน้าแพ้ง่ายขึ้นเมื่อโดนแสงแดด ผิวบางลง คราวนี้แทนที่จะสวย อาจต้องเสียเงินไปหาหมอแทนนะคะ ใช้ให้ถูกสูตร ที่เหมาะกับหน้าเราค่ะ



โทนเนอร์น้ำมะนาว

-การใช้น้ำ มะนาวล้างหน้านี้ ใช้แทนโทนเนอร์ได้เลยค่ะ โดยใช้น้ำมะนาว 1 ผล ผสมน้ำอุ่นสำหรับล้างหน้า และน้ำเย็น ล้างหน้าให้สะอาดและล้างครั้งสุดท้ายด้วยน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับหน้าให้แห้ง และใช้มะนาวแช่เย็นทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น และใช้น้ำเย็นล้างหน้าอีกครั้ง สูตรนี้นอกจากจะเป็นการกระชับรูขุมขนแล้ว ยังช่วยให้เร่งให้มีการผลัดเซลล์ผิวอย่างธรรมชาติอีกด้วยค่ะ



น้ำมะนาวแต้มสิว

-สูตร แต้มสิวด้วยน้ำมะนาวเป็นตัวเอกนี้ ให้ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมส่วนผสมทั้งสองมาผสมกันและตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วแต้มที่ตุ่มสิวทิ้งไว้ 30 นาที ล้างออกด้วยโฟมหรือเจลล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ทำบ่อยๆ ประมาณ 1 เดือนสิวจะเริ่มลดลงและหายไปในที่สุดค่ะ ง่ายๆ แค่นี้ เจลแต้มสิวที่ไหนก็ชิดซ้ายค่ะ



สครับมะนาว...ขาวกระจ่างใส

-สูตร นี้เหมาะสำหรับขัดผิวกายเท่านั้นนะคะ เพราะหากใช้กับใบหน้าตามสูตรนี้อาจจะแรงไปค่ะ และเหมาะสำหรับคนผิวมันด้วยค่ะ ใครที่ผิวแห้ง ข้ามสูตรนี้ไปก่อนนะคะ ไม่อย่านั้นผิวแห้งกันไปใหญ่ ไม่ดีแน่ๆ ค่ะ สูตรนี้นอกจากน้ำมะนาวตัวเอกแล้ว ก็ยังมีน้ำมันมะกอก และเกลือทะเลด้วยค่ะ เลือกที่บดไม่ต้องละเอียดมาก เพื่อจะได้มีเม็ดสครับที่พอเหมาะค่ะ

เริ่ม ง่ายๆ ด้วยการนำเกลือมาผสมกับน้ำมันมะกอกกะเอาให้พอเหมาะกับขนาดรูปร่างเรานะคะ พอหนืดๆ อย่าให้เหลวไปค่ะ จากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไปกะดูให้พอเข้มข้นพอ คนให้เข้ากันแล้วทำการสครับได้เลยค่ะ โดย เกลือจะทำหน้าที่ลอกผิวหนังที่ตายแล้วและทำความสะอาดผิวได้เป็นอย่างดี ส่วนน้ำมะกอกทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื่น และน้ำมะนาวนี่เองที่ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น แต่ไม่ควรผสมเยอะเกินไปเพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้เกิดการระคาย เคือง ได้ค่ะ



เล็บสวยด้วยมะนาว

-น้ำมะนาวก็ช่วยให้ เล็บเราสวยและแข็งแรงได้นะคะ วิธีการก็ง่ายแสนง่ายค่ะ แค่ฝานมะนาวพร้อมเปลือกออกเป็นซีกๆ แล้วเอามาขัดๆ ถูๆ ทำความสะอาดตามเล็บมือเล็บเท้าของเราค่ะ ถูไล่ไปตั้งแต่ผิวเล็บ ตลอดจนทุกซอกทุกมุมของเล็บเรา สูตรนี้ทำบ่อยๆ ได้ค่ะ เพราะเล็บเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว ไม่มีอาการแพ้แน่นอน รับรองว่าใครที่มีเล็บเหลืองจากการทาเล็บแบบไม่มีพัก จะได้เล็บขาวใสสวยๆ กลับคืนมาแน่นอนค่ะ



น้ำมะนาวนอกจากจะอร่อย อุดมด้วยวิตามินซี ยังเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามขอสาวๆ ได้อีกด้วย อ่านแล้วก็อย่าลืมไปสำรวจมะนาวในครัวดูนะคะว่ามีเหลืออยู่กี่ลูก และจะสวยอะไรก่อนดี?

Sunday, July 22, 2012

ประโยชน์แคนตาลูป Cantaloupe



คุณค่าอาหารและสรรพคุณของแคนตาลูป

แคนตาลูป ประกอบด้วยน้ำตาล มีวิตามีนซีเล็กน้อย และวิตามินเอสูงมาก มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ช่วยบำรงกระดูกและฟัน เนื้อผลสุก เป็นยาขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ขับเหงื่อ ดับพิษร้อน บำรุงธาตุและสอมง ช่วยบรรเทาอาการอักเสนของทางเดินปัสสาวะ แก้กระหาย สมัยก่อนฝรั่งเชื่อกันว่ากินแตงแคนตาลูปแล้วทำให้สายตาดี และมีสติ จะคิดจะทำสิ่งใดก็ได้ตามความมุ่งหมาย น้ำแคนตาลุป ช่วยลดไข้ เพราะเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น ส่วนน้ำตาลและเอนไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูปช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และอาการปั่นป่วนในกระเพาะอาหารเนื่องจากินอาหารผิดสำแดง

แคนตาลูป เป็นพืชตระกูลแตง เป็นผลไม้โบราณชนิดหนึ่ง มีชื่อสามัญว่า Cantaloupe ชื่อนี้มีที่มาจากการนำแตงพันธุ์นี้เข้าไปปลูกในประเทศอิตาลีที่เมืองแคนตา ลูโป (Cantalupu) ใกล้กับกรุงโรม ต่อมาพระเจ้าชาร์ลที่ 8 นำไปปลูกในฝรั่งเศส และเรียกผลไม้ลูกกลม ๆ รีๆ สีเหลืองนี้ว่า "แคนตาลูป" อังกฤษนำไปปลูกบ้าง เลยเรียกชื่อตามภาษาฝรั่งเศส ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cucumis melo var.cantalupensis แตงแคนตาลูปมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย คนอินดียและแอฟริการู้จักกินแคนตาลูปมานานกว่า 4,000 ปีแล้วมีการนำแคนตาลูปเข้ามาปลูกในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ, 2478 เมื่อก่อนเรียกว่า "แตงเทศ" หรือแตงฝรั่ง" ด้วยรูปร่างลักษณะคล้ายกับแตงไทย จึงทำให้บางคนเรียกแตงแคนตาลูปว่า "แตงไทยฝรั่ง" แต่ปลูกแล้วเป็นโรคจึงตายเป็นจำนวนมาก จากนั้นได้มีการพัฒนาการปลุกมาจนกระทั่งสามารถปลูกแตงแคนตาลูปได้ผลผลิตดีใน ปัจจุบันนี้

แหล่งเพาะปลูกแคนตาลูปในประเทศไทย
* แหล่งปลูกแคนตาลูปอยู่ที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เกษตรกรในอรัญประเทศเรียกแคนตาลูปของเขาว่า "แตงคุณหนู" เพราะจะต้องคอยประคบประหงมดูแลกันตลอด 60 วัน ฤดูที่มีผลผลิตออกตลาดอยูในช่วงเดือนเมษายน แคนตาลูปเป็นพืชล้มลุก อยู่ในตระกูลเดียวกับแตงไทย ต้นมีลักษณะเป็นไม้เถา ตามเถาและก้านใบมีขนนิ่ม ใบเหลี่ยมมน ดอกสีเหลืองเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่คนละดอก ผลกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 10-16 ซม. เปลือกนอกแข้ง เนื้อชุ่มน้ำ ผลดิบเนื้อกรอบ เมื่อสุกเนื้อนิ่ม หอมหวาน สีของเนื้อแคนตาลูปแตกต่างกันตามสายพันธุ์ สามารถแบ่งออกตามสีเนื้อได้ดังนี้

         o เนื้อสีเขียวหรือเขียวขาว ซึ่งเป็นพันธุ์ลูกผสมต่างประเทศมีทั้งผิวเรียบและผิวลายตาข่าย ผลสุกเปลือกสีเขียวครีมเหลือง และเหลืองทอง เนื้อมีทั้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่มรสหวานและมีกลิ่นหอม เช่น พันธุ์เจดคิว ฮันนี่ดิว ฮันนี่เวิลด์ และวีนัสไฮบริด เป็นต้น
         o เนื้อสีส้ม ผลมีทั้งผิวเรียบและผิวลายเป็นตาข่าย ผลสุกเปลือกสีครีมและสีเหลือง เนื้อมีที้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่ม รสหวานและมีกลิ่นหอมค่อนข้างแรง ได้แก่ พันธุ์ซันเลดี้ ท๊อบมาร์ค นิวเอ็มเมลลอน และนิวเซนต์จูรี เป็นต้น

   * ผลแคนตาลูปยิ่งสุกกลิ่นยิ่งหอม รสชาติยิ่งหวานนำมากินเป็นผลไม้สด และทำเป็นน้ำผลไม้ การคัดเลือกแคนตาลูปที่สุกแล้วให้กินอร่อย ให้ชั่งน้ำหนักด้วยมือลูกหนึ่งควรจะมีน้ำหนักประมาณหนึ่งกิโลกรัมเศษ ๆ จึงเรียกกว่ากำลังดี ลองเขย่าดูถ้ามีเสียงน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าส้มและสุกเกินไปกินไม่อร่อย แคนตาลูปที่แก่ได้ที่ต้องผิวสวย ตึง ไม่เหี่ยวเป็นร่องเป็นหยัก สีเหลืองเหมือนสีเปลือกไข่ไก่ถึอว่ากำลังดี

ประโยชน์น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว



 เรามาดูกันเป็นข้อๆกันเลยดีกว่านะ ว่าน้ำมันรำข้าวจมูกข้าวนี้มีประโยชน์อะไรบ้าง เราจะแยกออกเป็น 9 หัวข้อใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้เลย

1. ป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตีบตัน  

- ช่วยลดคลอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี  
- ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์  
- ช่วยเพิ่มระดับของ HDL. ซึ่งเป็นคลอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และกลุ่มโรคหลอดเลือดตีบตันได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด,หัวใจวาย ,อัมพาต,อัมพฤกษ์ เป็นต้น

2. ป้องกันโรคเบาหวาน ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี ธาตุโครเมียม ซึ่งธาตุนี้เมื่อร่างกายดูดซึม
เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต จะทำหน้าที่ในการจับฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ฮอร์โมนอินซูลิน คงตัวได้นาน


3. ป้องกันโรคมะเร็ง  
มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง

4. ป้องกันโรคสายตา ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี โปรวิตามินเอ - เบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถป้องกันโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินเอได้ โดยเฉพาะโรคน้ำตาแห้ง เป็นต้น

5. ป้องกันโรคสมองเสื่อม ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี Omega3 ,กลุ่มวิตามินอี,
มีคุณสมบัติรักษาสมดุลของระบบประสาท บำรุงสมองเสริมความจำ ป้องกันโรคสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์

6. บำรุงผิวพรรณ  ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวยืดหยุ่นลดริ้วรอย ป้องกันรังสี UV จากแสงแดด และช่วยปรับสภาพผิว ทำให้ดูขาวกระจ่างใส

7. ทำให้นอนหลับสบาย  ,ช่วยลดความเครียด

8. อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย

9.ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น   ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด มีระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น

วิตามินดี (cholecalciferol)



• ป้องกันการเสื อมสภาพของเซลล์ภายในร่างกาย
• เหมาะสำหรับผู้ที มีคอเรสเตอรอลในเลือดสูง
• ช่วยสมานแผลในร่างกาย
วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันมีอยู่ด้วยกันสองฟอมร์คือ ergocalciferol พบในยีสต์ และ cholecalciferol พบในน้ำมันตับปลา ไข่แดง และสังเคราะห์ที่ผิวหนัง ส่วนในน้ำนมพบทั้งสองฟอมร์

เราได้วิตามินส่วนหนึ่งจากอาหาร อีกส่วนหนึ่งจากการสังเคราะห์ที่ผิวหนัง หน้าที่ของวิตามินดีคือทำหน้าที่ร่วมกับแคลเซี่ยมในการสร้างกระดูกและฟัน และช่วยเร่งการดูดซึมแคลเซี่ยมในลำไส้

อาการของคนที่ขาดวิตามินดี คือกระดูกและฟันอ่อนแรง หักง่าย นอนไม่หลับในเด็กหากขาดวิตามินดี เรียก rickets ส่วนในผู้ใหญ่เรียก osteomalacia


วิตามินดีที่เราได้รับไม่ว่าจากอาหารหรือจากการสังเคราะห์ที่ผิวหนังร่างกายยังไม่สามารถนำไปใช้ได้ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยมีอวัยวะที่เปลี่ยนคือ
    ที่ตับเมื่อเปลี่ยนแล้วจะได้วิตามินดีที่เรียกว่า calcidiol
    ที่ไตเมื่อวิตามินเปลี่ยนแล้วจะได้วิตามินที่เรียกว่า calcitriol


หลายคนคงทราบว่า วิตามินดี(vitamin D)มีประโยชน์ต่อกระดูก เช่นอาจจะจำได้ว่า เราต้องออกไปรับแสงแดดเพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามิน D เป็นต้น ปัจจุบันเราพบว่ามันมีประโยชน์โรคหอบหืด หัวใจ เบาหวานและป้องกันมะเร็ง

วิตามินดี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมเข้าไปในกระดูก ในคนที่ขาด ทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน เพราะกระดูกขาดแคลเซียม ในเด็กๆ ทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน(rickets) ในบางประเทศ ต้องเสริมวิตามินดีในนมเลี้ยงเด็ก เนื่องจากขาดแสงแดด เป็นต้น

วิตามินดี กับบทบาทในการป้องกันโรคซึมเศร้า และโรคหัวใจ จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ขาดวิตามินดี มีอัตราการเกิดโรคซึมเศร้า และโรคหัวใจสูงกว่า แม้ว่าจะยังไม่ทราบเหตุผล มีการศึกษาพบว่า อัตราการตายจากโรคหัวใจลดลง 7% ในผู้ป่วยที่รับวิตามินดีเป็นประจำ ในเด็กที่เป็นหอบหืด พบอาการหอบหืดมากกว่าในเด็กที่ขาดวิตามินดี

ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้จากผิวหนัง โดยเมื่อผิวได้รับแสงแดด จะมีการสร้างวิตามินดี แต่การรับแสงแดดมากไปจะเกิดผลข้างเคียงอื่นๆเช่น ไหม้ หรือมะเร็ง ควรรับแดดอ่อนตอนเช้า ไม่เกิน 20 นาทีก็เพียงพอ

วิตามินดี มีมากในอาหารบางประเภท เช่น ไข่แดง ปลาแซลมอน นมที่มีวิตามินดี คนไข้ที่อยู่ในบริเวณที่ไม่ค่อยมีแสงแดด แนะนำให้รับประทานวิตามินดี หรืออาหารพวกนี้เพิ่ม ผู้ที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินดีในโรคอื่นๆ เช่น โรคอ้วน โรคท้องเสียเรื้อรัง ก็แนะนำให้รับประทานวิตามินดีเพิ่มเช่นกัน

วิตามินดีกับโรคความดันโลหิตสูง เราพบว่า ในผู้ที่ขาดวิตามินดี และมีความดันสูง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจและเสียชีวิตสูงกว่า

วิตามินดีกับโรคมะเร็งเต้านม จากการศึกษา พบว่า การขาดวิตามินดี จะทำให้เพิ่มโอกาสที่มะเร็งเต้านม กระจายไปมากกว่าคนปกติ ยิ่งกว่านั้นมีการศึกษาพบว่า การรับประทานวิตามินดี ป้องกันมะเร็งเต้านมได้

วิตามินดีกับมะเร็งอื่นๆ มีการศึกษาพบว่า วิตามินดี ป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยของวิตามินดียังเป็นเรื่องรองจากการควบคุมอื่นๆ เช่น การออกกำลัง การควบคุมน้ำหนัก และการงดของที่ก่อมะเร็ง เป็นต้น






ไนอาซินาไมด์ (Vitamin B3)

• เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท และทางเดินอาหาร
• บำรุงผิวพรรณ
• ช่วยขยายและป้องกันหลอดเลือดและหัวใจ

ช่วยลดปัญหาของการเกิดสิว และริ้วรอยเล็กๆที่มา จากความแห้งกร้าน

ช่วยเพิ่มการสังเคราะห์ collagen ในชั้นผิวหนัก ทำให้ผิวเต่งตึงและเรียบเนียนขึ้น

เป็นสารปรับสภาพผิวขาวที่จัดว่าปลอดภัยที่สุด

ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตชั้นผิวหนังทำให้ผิวขาว ใส อมชมพูขึ้น



ประโยชน์ของไนอาซินนาไมด์
       1.เป็นส่วนประกอบของ Coenzyme ซึ่งเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาหลายอย่างในร่างกาย  เช่น ช่วยในการแตกตัวของน้ำย่อย และใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรท
          2.ช่วยบำรุงสมองและประสาท
          3.ช่วยรักษาสุขภาพของผิวหนังลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร
          4.จำเป็นสำหรับ การสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ
          5.ช่วยลดระดับ Cholesterol ในเลือด

ผลของการขาดไนอาซินาไมด์
       การขาดไนอาซินาไมด์ ทำให้เกิดโรคเพลลากรา (Pellagra) ซึ่งมีอาการเริ่มแรก คือ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวลด ปวดแสบปวดร้อนปาก ปวดศีรษะ ปวดหลัง ต่อมามีอาการมากขึ้น คือ
         1.มีอาการอักเสบของปาก ลิ้นและลำคอ ตลอดลงไปในทางเดินอาหาร ลิ้นและริมฝีปากแดง จะทำให้รับประทานและกลืนอาหารลำบาก
         2.อาจมีอาการหลั่งกรดเกลือในกระเพาะอาหารลดน้อยลงและมีอาการซีด ซึ่งคล้ายๆ กับเป็นโรคโลหิตจางชนิด เพอร์นิเชียส (Pernicious anemia)
         3.มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงอย่างรุนแรงตามมา
         4.มีอาการผิวหนังอักเสบนอกร่มผ้า  เช่น ตามบริเวณหลังมือ ปลายแขน ข้อศอก หลังเท้า ขา หัวเข่า และลำคอ อาการผิวหนังอักเสบเริ่มต้นด้วย ผิวหนังแดง บวมเล็กน้อย และอ่อนนุ่มคล้ายกับโดนแดดเผาถ้าไม่รีบรักษาผิวหนังจะหยาบ แห้งแตกเป็นเกร็ดและลอก ถ้าถูกแสงแดดหรือถูกความร้อน จะทำให้ผิวหนังอักเสบมากขึ้น
         5.มีอาการทางระบบประสาท ได้แก่ ความคิดสับสน มึนงง ความจำเสื่อม ตื่นเต้นง่าย ฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ จิตใจหดหู่ เพ้อและประสาทหลอน ถ้ามีอาการรุนแรงมากก็ถึงขั้นเสียชีวิต
         โรคเพลลากรานี้รู้จักกันดีว่าเป็นโรค 4 DS Disease ซึ่งหมายถึง มีอาการสำคัญ 4 DS คือ ผิวหนังอักเสบนอกร่มผ้า (Dermatitis) อาการท้องเสีย (Diarrhea) อาการทางจิตและประสาท (Dementia) และตาย (Death)

แหล่งอาหารที่ให้ไนอาซินาไมด์
       วิตามินนี้สามารถสังเคราะห์ได้โดยบัคเตรีในลำไส้ใหญ่ แต่ปริมาณที่สังเคราะห์ได้ไม่พอกับความต้องการของคน ต้องรับประทานจากอาหาร อาหารที่มีไนอาซินาไมด์มาก คือ ตับ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ยีสต์ ปลา ถั่วเมล็ดแห้ง และเครื่องในสัตว์ อาหารจากพืชมีไนอาซินาไมด์น้อยกว่าอาหารที่มาจากสัตว์ อาหารพวกนมมีไนอาซินาไมด์น้อยก็จริง แต่มีทริปโตเฟนมาก จึงเป็นแหล่งเกิดของไนอาซินาไมด์ทางอ้อม อาหารพวกข้าวทุกชนิดมีไนอาซินาไมด์มาก ยกเว้นข้าวโพด ข้าวโพดมีไนอาซินาไมด์และทริปโตเฟนต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น นอกจากนี้ไนอาซินาไมด์ในข้าวโพดยังเป็นชนิดที่ไม่มีอิสระหรือรวมอยู่กับสารอื่น ทำให้ใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่

วิตามินเอ (Vitamin A)


• ช่วยให้การทำงานของผิวหนังและเยื อบุต่างๆ ทำงานเป็นปกติ
• ช่วยให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายทำงานได้ดีขึ น
• ช่วยต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน


วิตามินเป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย แต่มีความสำคัญ และมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปวิตามินถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ วิตามินที่ละลายในน้ำ (เช่น วิตามิน B, C) และวิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่วิตามิน A, D, E และ K ซึ่งจะถูกสะสมไว้ที่ตับ และเนื้อเยื่อไขมันต่างๆ จึงมีการกำจัดออกจากร่างกายช้ากว่ากลุ่มวิตามินที่ละลายในน้ำ และด้วยสาเหตุนี้วิตามินที่ละลายในไขมันจึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดพิษ ต่อร่างกายได้มากกว่าเมื่อรับประทานเกินขนาด

วิตามินเอ นั้นเราสามารถพบได้มากในน้ำมันปลา ในผัก และน้ำผลไม้ หากเราพูดถึงวิตามินเอในผักนั้นเราจะเรียกว่า เบต้าแคโรทีน ซึ่งในเครอทนั้นจะมีอยู่เป็นจำนวนมาก
ประโยชน์ของวิตามินเอ – วิตามินเอจะมีประโยชน์มากสำหรับสายตา และยังมีส่วนช่วยในการสร้างฟัน กระดูก และเลือด รวมถึงป้องกันการติดเชื้อ
การบริโภควิตามินเอในปริมาณมากๆเกินความจำเป็นร่างกายของเราจะทำการเก็บ สะสมไว้ ยกตัวอย่างหากว่าเราดื่มน้ำแครอดเป็นจำนวนมากๆ ร่างกายจะทำการเก็บเบต้าแคโรทีนไว้ที่บริเวณชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวมีสีเหลือง แต่เมื่อร่างกายต้องการนำวิตามินเอมาใช้งานเมื่อไร ก็จะทำการเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินเอแล้วนำมาใช้งาน หลังจากนั้นสีผิวก็จะกลับเป็นปรกติไม่มีอันตรายแต่อย่างใด


วิตามินกลุ่มนี้จะถูกดูดซึมบริเวณลำไส้เล็กร่วมกับการดูดซึมสารอาหารประเภทไขมัน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้ที่มีปัญหาเรื่องการดูดซึมสารอาหารประเภทไขมันจึงเสี่ยงต่อการขาดวิตามินกลุ่มนี้


วิตามินเอและดวงตา

วิตามิน เอ ช่วยควบคุมการทำงานของเซลล์ที่เกี่ยวกับการเห็นภาพ ถ้าขาดจะทำให้เกิดโรคตาฟาง มองไม่ค่อยเห็นในเวลากลางคืน การปรับสายตาในความมืดไม่ดี นอกจากนี้ยังทำให้นัยต์ตาแห้ง ไม่มีน้ำตา กลัวแสงสว่าง เกิดการอักเสบ ตาแดง บางครั้งอักเสบเป็นหนอง จนถึงตาบอดได้ 

ถ้าขาดวิตามินเอ

กระดูกและฟันจะไม่เจริญตามปกติ ทำให้ร่างกายไม่เติบโตและฟันผุ ผิวหนังจะแห้งและเป็นเม็ดๆ เหมือนกระดาษทราย ในด้านระบบสืบพันธ์ของผู้ชายพบว่าจะเป็นหมัน เพราะเซลล์ของต่อมที่สร้างเชื้ออสุจิจะไม่ทำงาน

วิตามินเอ นี้ ถ้ารับประทานมากไป จะมีพิษได้ อาการที่สำคัญคือ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง นัยต์ตาเห็นภาพเป็น 2 สิ่ง มือสั่น ผิวหนังบริเวณหน้าและริมฝีปากจะลอก 

เราสามารถพบวิตามินเอได้เฉพาะ

ในสัตว์เท่านั้น สำหรับในพืช จะอยู่ในรูปของโปรวิตามินคือ พวกแคโรตีน ในสัตว์ ได้แก่ น้ำมันตับปลา ตับ ลำไส้ น้ำนมแม่แรกคลอด เนย และไข่แดง ในพืช ในรูปของแคโรตีน ได้แก่ ผัก ผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มันเทศ ฟักทอง กล้วย ข้าวโพด บวบ ถั่วฟักยาว และบร๊อคโคลี่

ประโยชน์โนนิ ลูกยอ

• ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ช่วยปรับภาวะกรด – ด่างให้สมดุล จึงช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามิน เกลือแร่ และโปรตีนได้ดีขึ น
• เสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย
• ช่วยเพิ มประสิทธิภาพการทำงานของตับ กล้ามเนื อ และระบบประสาท


 โนนิ (Noni) เป็นชื่่อแถบฮาวายของพืช ตระกูลลูกยอ จริงๆ แล้วมีกว่า 80 ชนิด แต่ที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางเศรษฐกิจมี 20 ชนิด มันเติบโตและแพร่กระจายด้วยตัวของมันเอง โดยที่มนุษย์ไม่ต้องดูแล โนนิ ยังเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงภาคตะวันออกของโปลินีเซีย โดยโนนิตั้งถิ่นฐานอยู่ที่โปลีนีเซีย และเริ่มแพร่พันธุ์ข้ามทะเลมายังฮาวายประมาณ 1500 ปี ที่ผ่านมา 

เปลือกของมันยังสามารถใช้สำหรับย้อมสีแดง, รากของมันสำหรับย้อมสีเหลือง, โนนิเป็นผลไม้ที่เป็นอาหารและใบของมันผลไม้และเปลือกไม้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสำหรับหลายโรคและปัญหาสุขภาพ


คุณประโยชน์

- เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น หายอ่อนเพลีย
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- ชะลอความแก่ก่อนวัย ผิวพรรณสดใส
- สมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ฟื้นฟูระบบขับถ่ายเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษในร่างกาย
- ป้องกันการติดเชื้อในลำคอ รักษาอาการภูมิแพ้ ต้านไวรัส เชื้อรา ไข้หวัด หอบหืด หลอดลมอักเสบ น้ำมูกไหลเรื้อรัง ไซนัส และอาการภูมิแพ้ต่าง ๆ
- ลดระดับคลอเรสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ขยายหลอดเลือด ลดความดันโลหิต
- บรรเทาอาการไมเกรน อาการซึมเศร้า และอัลไซม์เมอร์
- กระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ประโยชน์องุ่น องุ่นแดง



• ช่วยยับยั้งการเกาะตัวของคอเรสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ
• ช่วยบรรเทาอาการปวดจากข้ออักเสบ
• มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและหัวใจ
• ช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง

องุ่นเป็นผลไม้ที่มีรสชาติดี ทั้งรสหวาน เปรี้ยว มีขายทั่วไป ปลูกกันมากกว่า 5000 ปี สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในเขตหนาว เขตกึ่งร้อนกึ่งหนาว และเขตร้อน


ปัจจุบันนี้มีการปลูกองุ่นกันแพร่หลายมากในบ้านเรา  ไร่องุ่นบางไร่จะนำผลผลิตไปทำไวน์  แต่บางไร่เน้นเรื่องการจำหน่ายผลองุ่น  องุ่นที่ปลูกในเมืองไทยมีมายกมายหลายพันธุ์  ทั้งลูกใหญ่  ลูกเล็ก  สีเขียว  สีแดง  สีม่วง  มีเมล็ด  ไร้เมล็ด  มีให้ผู้บริโภคเลือกตามใจชอบ  องุ่นกินได้ทั้งผลสดและแห้ง
คนส่วนใหญ่จะคายเมล็ดองุ่นทิ้ง  ความจริงเมล็ดองุ่นจะมีนำมันที่กินได้  และเชื่อว่าน้ำมันนี้ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง  ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวของก่อนเลือดประโยชน์ขององุ่นโดยเฉพาะองุ่นแดงหรือองุ่นม่วง  ส่วนใหญ่เกิดจากสีที่มีมากที่ผิวและเมล็ดขององุ่น  ซึ่งมีปริมาณมากกว่าในเนื้อองุ่นประมาณ 100 เท่า  สารแอนโธไซยานิน  เป็นสารกลุ่มโพลิฟินอลมีมากในองุ่นแดง  หรือม่วง  ส่วนสาร  แคทิชิน  มีมากในองุ่นเขียว  ปริมาณสารโพลิฟินที่มีอยู่ที่ผิวขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง  นอกจากนี้องุ่นยังอุดมไปด้วย กรดเอลลาจิก  ซึ่งเป็นสาร ฟลาโวนอยด์  ที่มีพลังในการต่อสู้กับมะเร็ง

องุ่นและน้ำองุ่นมีบทบาทต่อระบบหัวใจแตกต่างกัน  รงควัตถุในองุ่น  แดง  ม่วงและดำ  จะช่วยป้องกันระบบหัวใจโดยกลไกลหลายอย่าง  รวมทั้งการป้องกันมีให้เลือดจับกันเป็นก้อน  ยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่นของ  แอล ดีแอล คอเลสเตอรอล  ลดระดับโฮโมซิสเตอีน  และคุณสมบัติการต้านการเกิดหลอดเลือดแข็ง  องุ่นกระตุ้นการสร้างไนตริกออกไซด์ในเยื่อบุชั่นใน  ซึ้งเหนี่ยวนำทำให้เกิดการคลายตัวของผนังหลอดเลือดและทำให้ความดันโลหิตลดลง  และรายงานศึกษาเกี่ยวกับน้ำองุ่นพบว่า  สามารถลดแอล  ดี  แอลคอเลสเตอรอล  และลดระดับตัวชีวัดการอักเสบในพลาสม่า
กินองุ่นครั้งต่อไป  อย่าลืมกินทั้งเปลือกและเมล็ด  แต่ต้องล้างให้สะอาดก่อน



ประโยชน์ต่อสุขภาพ

    องุ่น เป็นอาหารบำรุงร่างกายอีกชนิดหนึ่ง นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหาร ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีหลายชนิด สารอาหารที่สำคัญ คือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์อีกประมาณ 7-8 ชนิด น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโคส วิตามินซี นอกจากนี้ยังมีเหล็ก และแคล   เซี่ยมองุ่นยังสามารถนำไปทำเหล้าองุ่น ซึ่งเป็นเหล้าบำรุง ส่วนเครือและราก ใช้เป็นยาขับลม ขับปัสสาวะ รักษาโรคไขข้ออักเสบ ปวดเอ็นกระดูก และมีฤทธิ์ระงับประสาท แก้ปวด แก้อาเจียนอีกด้วย
    การรับประทานองุ่นเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง คนที่ร่างกายผอมแห้ง แรงน้อย แก่ก่อนวัย ไม่มีเรี่ยวแรง ถ้ารับประทานองุ่นเป็นประจำ จะช่วยเสริมทำให้ร่างกายค่อยๆแข็งแรงขึ้นได้

การยับยั้งเซลล์มะเร็งด้วยสารสกัดจาก...'องุ่นแดง'

โรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนและทำให้เกิดโศกนาฎกรรมอย่างใหญ่หลวงแก่ประชาชนทุกชาติ ทุกภาษา  ในวงการแพทย์พบว่าโรคที่มีอัตราการตายสูงมาก คือ โรคมะเร็ง

                    โรคมะเร็ง  ก่อกำเนิดมาจากเซลล์มะเร็งที่เกาะตามอวัยวะต่างๆ  เปลี่ยนสภาพในร่างกาย แล้วเปลี่ยนไปเป็นเนื้อร้ายเจริญเติบโตและขยายตัวในหลอดเลือด และน้ำเหลือง จนในที่สุดกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายจนยากแก่การรักษา  โดยเฉพาะหากกระจายไปที่ส่วนสำคัญ เช่น ปอด ตับ และสมอง เป็นต้น ซึ่งอวัยวะดังกล่าวเป็นจุดอ่อนที่เซลล์มะเร็งสามารถเข้าไปทำลายได้ง่าย  แล้วก็จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด

การรักษาโรคหรือเนื้อร้ายนี้ในวงการแพทย์ได้พยายามวิวัฒนาการ  การรักษา  และเยียวยาเป็นเวลาช้านาน

ปัจจุบันมีหลายวิธี คือ การผ่าตัด เคมีบำบัดและรังสีรักษา ซึ่งวิธีการดัง กล่าวก็เป้นเพียงแต่ยับยั้งหรือจำกัดการแพร่กระจายได้ในส่วนหนึ่งเท่านั้น  โดยเฉพาะในทางเคมีบำบัด  และรังสีรักษา อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปากอักเสบ ผมร่วง เป็นต้น   ซึ่งสร้างความเจ็บปวดหรือทุกขเวทนาแก่ผู้ป่วยจนอาจยุติการรักษาและนำไปสู่การสูญเสียชีวิตในที่สุด

"...พบว่าสารสกัดจากกากองุ่นแดงสามารถ ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง จะหยุดการกระจาย และตายไปในที่สุด  ที่ทางวิทยาศาสตร์เรียก  อะพอพโตซิส (apoptosis)..."



องุ่นแดง (ประกอบด้วย เมล็ด เนื้อ และเปลือก) มาใช้ในการศึกษาฤทธิ์ความเป็นพิษ   ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับอ่อน   และมะเร็งท่อน้ำดี   ซึ่งเป็นมะเร็งตับที่มีอุบัติ-การณ์สูงสุด   ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย  พบว่าสารสกัดจากกากองุ่นแดงสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งและหยุดการกระจาย จนตายไปในที่สุด  ที่ทางวิทยาศาสตร์เรียก อะพอพโตซิส (apoptosis)

  นอกจากนี้ยังมีสาร Ellagic acid  ที่สามารถจับและทำลายพิษของสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะ สาร resveratrol ที่พบมากในผิวจากเปลือกองุ่นแดง     ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ขณะเดียวกันก็  เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันแลัวยังเป็นสารป้องกันและต้านมะเร็งได้   นอกจากนี้ยังมีรายงานจากต่างประเทศว่า สามารถใช้รักษาโรคอัลไซ -เมอร์  พาร์กินสันและ เอดส์ได้อีกด้วย
 
ดังนั้น  หากเรานำเอาสารสกัดที่ได้จากการแปรรูปขององุ่น  มาใช้ให้เป็นประโยชน์โดย   เฉพาะนำมาสกัดเอาสาร polyphenol   เป็นสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและเป็นสารต้านมะเร็ง  โดยสกัดมาทำยา   ซึ่งเราสามารถใช้เป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคร้ายนี้ได้ในอนาคต